กรุงเทพฯ 22 ม.ค. – พีทีทีจีซีเล็งปรับประมาณการรายได้หลังราคาน้ำมันสูงขึ้น เดิมคาดราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบดูไบที่ 52 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แต่ราคาขณะนี้สูงกว่า 65 เหรียญ/บาร์เรล
นางสาวดวงกมล เศรษฐธนัง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานการเงินและบัญชี บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (พีทีทีจีซี) เปิดเผยว่า บริษัทมีโอกาสที่จะปรับเพิ่มเป้าหมายยอดขายปี 2561 จากที่คาดไว้ระดับ 480,000 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่ตั้งเป้าหมายไว้ 450,000 ล้านบาท หลังราคาน้ำมันดิบดูไบปรับเพิ่มขึ้นมายืนเหนือระดับ 65 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในขณะนี้ ผลักดันให้ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีปรับตัวขึ้นด้วย โดยเป็นระดับที่สูงกว่าประมาณการราคาน้ำมันดิบที่บริษัทใช้จัดทำแผนงานปีนี้ที่อยู่ระดับ 52 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล โดยราคาผลิตภัณฑ์โพลีเอทิลีนชนิดความหนาแน่นสูง (HDPE) ขยับขึ้นมาที่ 1,300 เหรียญสหรัฐ/ตัน สูงกว่าราคาเฉลี่ยปีที่แล้วที่อยู่ระดับ 1,170 เหรียญสหรัฐ/ตัน และสูงกว่าที่ประมาณการปีนี้ที่ระดับ 1,133 เหรียญสหรัฐ/ตัน โดยราคาส่งมอบ ณ เดือนมกราคมอยู่ที่ 1,200-1,300 เหรียญสหรัฐ/ตัน
อย่างไรก็ตาม ด้านส่วนต่าง (สเปรด) ระหว่างราคาแนฟทาซึ่งเป็นวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ HDPE ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 650 เหรียญสหรัฐ/ตัน นั้น แม้ว่าจะถูกกระทบบ้างจากต้นทุนแนฟทาที่สูงขึ้นตามราคาน้ำมัน แต่ไม่กระทบกับบริษัท เพราะต้นทุนการผลิตของบริษัทส่วนใหญ่ใช้ก๊าซฯ เป็นวัตถุดิบ ทำให้สเปรดผลิตภัณฑ์ HDPE ของบริษัทยังสูงกว่าเกณฑ์เฉลี่ย
สำหรับผลการดำเนินงานปีนี้ ยังได้รับปัจจัยบวกจากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยมีอัตราการใช้กำลังผลิตอะโรเมติกส์ เพิ่มขึ้นมาที่ร้อยละ 91 จากร้อยละ 80 ในปีที่แล้ว หลังเปลี่ยน catalyst โรงงานอะโรเมติกส์ 1 โรง ทำให้เดินเครื่องผลิตได้ดีขึ้นและการใช้กำลังการผลิตโอเลฟินส์เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละร้อยละ 99 จาก ร้อยละ 96 ในปีก่อน เนื่องจากไม่ได้หยุดซ่อมบำรุงมากเหมือนในปีที่แล้ว
ขณะเดียวกันได้รับผลประโยชน์เต็มที่จากโครงการ Asset Injection ซึ่งเป็นการซื้อหุ้น 6 บริษัทในธุรกิจปิโตรเคมีสายโพรพิลีน สายเคมีภัณฑ์ชีวภาพของกลุ่ม บมจ.ปตท. (PTT) ที่จะรับรู้ได้เต็มปี หลังจากได้เข้าซื้อมาเมื่อกลางปีที่แล้ว รวมถึงโครงการ MAX ซึ่งเป็นการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานทั่วทั้งองค์กรนั้น คาดว่าจะสามารถสร้างกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษี (EBIT) ในปีนี้ได้เป็นประมาณ 6,000 ล้านบาท จาก 3,000 ล้านบาทในปีที่แล้ว
สำหรับแผนการลงทุน 5 ปี (ปี 60-64) ยังคงเป็นวงเงินเดิมประมาณ 180,000 ล้านบาท โดยประมาณ 135,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในโครงการพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และการลงทุนบางส่วนในไบโอคอมเพล็กซ์ จ.นครสวรรค์ ของ บมจ.โกลบอลกรีน เคมิคอล (GGC). –สำนักข่าวไทย