กรุงเทพฯ 12 มี.ค.-ตลท. เชื่อ ThaiESGX ช่วยหนุนหุ้นไทย ท่ามกลางภาวะตลาดโลกที่ยังกระเพื่อมแรง แจงหุ้นยั่งยืน ใช้ ESG Rating ระดับสากลอื่นได้ หลังเกิดแรงเทขายหุ้นบิ๊กแคป ที่ไม่มี SET ESG Rating ชี้ยังมี บจ.กำไรดี-ปันผลดี หนุนลงทุนระยะยาว
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท. ) รายงานภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ. สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568 SET Index ปิดที่ 1,203.72 จุด ลดลง 8.4% จากสิ้นเดือนมกราคม 2568 ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหลักทรัพย์อื่นในภูมิภาค ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568 SET Index ปรับลดลง 14.0% โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2567 ได้แก่ กลุ่มการเงิน กลุ่มเกษตรและอาหาร กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มบริการ และกลุ่มทรัพยากร
มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมของ SET และ mai ปรับขึ้นไปอยู่ที่ 52,041 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 10.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเห็นสัญญาณเกี่ยวกับมูลค่าการซื้อขายผู้ลงทุนสถาบันในประเทศเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับสูงกว่า 10% ของมูลค่าซื้อขายทั้งหมด 5 เดือนต่อเนื่อง บริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน mai 1 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. มาเธอร์ มาร์เก็ตติ้ง (MOTHER)
Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568 อยู่ที่ระดับ 12.6 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 12.3 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 15.3 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 14.2 เท่า ขณะที่อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568 อยู่ที่ระดับ 4.03% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.27%
ขณะที่ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) เดือนกุมภาพันธ์ 2568 ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 485,359 สัญญา เพิ่มขึ้น 24.0% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการเพิ่มขึ้นของ Single Stock Futures และ SET50 Index Futures ทำให้ในปี 2568 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 434,992 สัญญา ลดลง 10.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ SET50 Index Futures และ Gold Online Futures
นายศรพล ตุลยเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568 SET Index อยู่ในช่วงปรับฐานซึ่งลดลงกว่า 17.9% จากระดับสูงสุดในรอบนี้ ขณะที่อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ในระดับที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับแนวโน้มในอดีต และหากพิจารณามูลค่าพื้นฐานของตลาดพบว่าระดับ P/E อยู่ที่ 12.5 – 16.6 เท่า และ P/BV เพียง 1.2 – 1.4 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยรอบการปรับฐานครั้งก่อนๆ อย่างมีนัยสำคัญ โดยการปรับฐานของตลาดในรอบนี้หุ้นที่ปรับตัวลดลงมากส่วนใหญ่มาจากกลุ่มหุ้นที่มี P/E Ratio สูง ซึ่งบ่งชี้ว่าตลาดกำลังมีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงและการประเมินมูลค่าหุ้นที่สูงเกินไป ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนพยายามออกมาตรการเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของ SET Index โดยเน้นด้านการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างแข็งแกร่ง การจำกัดความเสี่ยงจากนโยบายกีดกันทางการค้า รวมถึงมีปัจจัยขับเคลื่อนตลาดหุ้นโดยเฉพาะการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนใหม่และส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าของ บจ. และยกระดับ CG
สำหรับปัจจัยต่างประเทศ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยืนยันเดินหน้าเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่อสินค้านำเข้าจากจีนในอัตรา 20% แคนาดาและเม็กซิโกในอัตรา 25% ตั้งแต่วันที่ 4 มี.ค. 2568 โดยสหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับทุกประเทศที่เก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 2 เม.ย. 2568 นอกจากนี้ เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเงินเฟ้อในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ทำให้ผู้ลงทุนสหรัฐฯ เพิ่มสัดส่วนการถือครองเงินสดสะท้อนภาวะตลาดเข้าสู่ภาวะ Risk Off ขณะที่ดัชนี S&P500 ปรับตัวลดลงจากสิ้นปีก่อนหน้าถึง 1.4% หลังจากที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาหลายปี อย่างไรก็ตาม ยังมีหลายตลาดหุ้นที่ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง มีความเสี่ยงน้อยจากนโยบายกีดกันทางการค้า รวมถึงมีปัจจัยขับเคลื่อนตลาดหุ้นเฉพาะตัวและมี Valuation ที่ไม่สูง
นายศรพล กลาวเพิ่มเติมว่า ตลาดหุ้นไทยยังเผชิญความท้าทาย จากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่เป็นปัญหาใหญ่ และมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐ สำหรับกรณี ครม.เห็นชอบให้โอน LTF ไป ThaiESGX ถือว่าเป็นตัวช่วย แต่ทั้งนี้ต้องดูว่าจะมีการตั้งกองทุน ใหม่เท่าใด และมีการโอนจาก LTF มามากน้อยเพียงใด ถือว่าเป๋นส่วนช่วยตลาดหุ้นไทยในภาวะที่ตลาดโลกยังกระเพื่อมแรง
ส่วนกรณีมีการเทขายหุ้นที่ไม่มี SET ESG Rating ชี้แจงว่า การลงทุนใน ThaiESGX ที่ให้ลงทุนในหุ้น 65% นั้น แม้หุ้นที่ไม่มี SET ESG Rating แต่ยังมีอีก 3 เกณฑ์ในการพิจารณา ได้แก่ ถ้าผ่านการประเมิน ESG Rating อื่นๆในระดับสากล ก็สามารถทดแทนได้ นอกจากนี้ยังสามารถใช้การเปิดเผยข้อมูลฟุตพริ้นท์ ที่ผ่านการรับรองจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) ก็สามารถนำมาใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาได้เช่นกัน และเป็นหุ้นที่บริษัทมีการสำรวจการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียน หรือ CGR ซึ่งดำเนินการโดย สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (Thai Institute of Directors: IOD) เกินกว่า 90 คะแนน และเปิดเผยข้อมูลใน ESG Data Platform ของ ตลท.เกินกว่า 85% ของไอเทม โดยขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนในการเลือกพิจารณา
ที่ผ่านมา หลายหน่วยงาน ทั้งกระทรวงการคลัง ก.ล.ต. และ ตลาดหลักทรัพย์ ร่วมกันทำหลายมาตรการ สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ทั้งฝั่งดีมานด์ที่มี Thai ESG, ThaiESGX และวายุภักดิ์ ส่วนฝั่งซัพพลาย มีมาตรการยกระดับการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียน มาตรการ Jump+ ที่คาดว่าจะประกาศใช้ในอีก 2 เดือน รวมถึงการซื้นหุ้นคืน ทั้งนี้ เมื่อหุ้นย่อตัวลงมาก แต่ยังมี บจ.ที่มีกำไรดี และจ่ายปันผลดี ถือเป็นโอกาสการลงทุนระยะยาว.-516.-สำนักข่าวไทย