กรุงเทพฯ 7 มี.ค.-วายแอลจี ลุ้นราคาทองคำ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ กังวล นโยบายภาษีของ ทรัมป์ ไม่แน่นอนสูง นักลงทุนกังวลหันซบทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) ตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดล่วงหน้า (ฟิวเจอร์ส) เปิดเผยว่า ปัจจัยสนับสนุนทองคำระยะกลาง-ยาว ยังแข็งแกร่งจากสัญญาณการอ่อนแอในทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐและการค้าโลกที่อาจมากระทบในอนาคต ขณะที่ ตลาดคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดขยับขึ้นมาเป็น 0.75% ภาพรวมทั้งปี YLG ยังคงเป้าหมายราคาทองคำที่ 3,000 – 3,100 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ระยะสั้นแนะนักลงทุนเก็งกำไรและเพิ่มทางเลือกในการลงทุนผ่านตลาดฟิวเจอร์ส ล่าสุดจับมือ Trading View เพิ่มทางเลือกนักลงทุน มอบสิทธิพิเศษจำนวนมากสำหรับการเปิดบัญชี YLG Futures บน Trading View เพิ่มโอกาสเข้าถึงข้อมูลการลงทุนอย่างรอบด้าน
ราคาทองคำล่าสุดยังสามารถเคลื่อนไหวทรงตัวในระดับสูง ใกล้กลับราคาเป้าหมายที่ YLG ให้ไว้ที่ 3,000 – 3,100 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ขานรับแรงหนุนจากการอ่อนค่าอย่างต่อเนื่องของดอลลาร์สหรัฐในสัปดาห์นี้ หลังเห็นสัญญาณการอ่อนแอของตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ เช่น ดัชนี PMI ภาคการผลิตจาก ISM และตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนจาก ADP ที่ร่วงสู่ระดับ 77,000 ตำแหน่ง ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 141,000 ตำแหน่ง จึงต้องจับตาตัวเลขตลาดแรงงานสหรัฐอย่างใกล้ชิด

นอกจากนี้ เมื่อราคาทองคำย่อตัวลงยังเห็นแรงช้อนซื้อในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งถูกกระตุ้นจากความกังวลในสงครามการค้าที่อาจเกิดขึ้นไปกระทบเศรษฐกิจโลก ประกอบกับสาเหตุหลักจากความไม่แน่นอนในมาตรการภาษีศุลกากรสหรัฐ แม้โดนัลด์ ทรัมป์ จะประกาศเลื่อนการเก็บภาษี 25% กับสินค้าภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรี สหรัฐ-เม็กซิโก-แคนาดา (USMCA) ไปจนถึงวันที่ 2 เม.ย. แต่เป็นวันเดียวกับการเริ่มบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับทุกประเทศที่เก็บภาษีจากสหรัฐ ในขณะที่ ทำเนียบขาวประมาณการว่า 62% ของสินค้านำเข้าจากแคนาดาจะยังคงอยู่ภายใต้มาตรการภาษี เช่นเดียวกับ สินค้าประมาณ 50% จากเม็กซิโก
ทั้งนี้ YLG ยังคงยืนยันเป้าหมายเดิมไว้ที่ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ และหากผ่านไปได้จะไปที่แนวต้านถัดไปที่ 3,100 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ เนื่องจากราคาทองคำที่ปรับตัวขึ้นมาสูงมากย่อมเผชิญความเสี่ยงแรงเทขายทำกำไรระยะสั้นออกมาตามรอบ แต่ยังเชื่อว่าระยะยาวปีนี้ยังเป็นขาขึ้น เพราะนอกจากปัจจัยหนุนที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว แนวโน้มการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในปีนี้ ตลาดได้เริ่มกลับมาคาดการณ์ว่าจะเฟดปรับลดดอกเบี้ย 0.75% สู่ระดับ 3.50-3.75% ณ สิ้นปี ซึ่งเป็นสัดส่วนการปรับลดที่มากกว่าที่เคยส่งสัญญญาณผ่าน Dot Plot ครั้งล่าสุดว่าเฟดอาจปรับลดดอกเบี้ยเพียง 0.50% จึงนับเป็น Sentiment เชิงบวกในฐานะสินทรัพย์ที่ได้รับอานิสงส์จากทิศทางดอกเบี้ยขาลง.-515 สำนักข่าวไทย