กทม. 23 ก.พ. – ตำรวจไซเบอร์รวบหนุ่มจีนพร้อมสาวไทย กินหรูอยู่สบาย เอี่ยวฟอกเงินขบวนการหลอกลงทุนคริปโต พบเกี่ยวพันอีก 28 คดี มูลค่าความเสียหายกว่า 30 ล้านบาท
พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ได้แถลงข่าว ตำรวจไซเบอร์เปิดปฏิบัติการ Exit Scam ทลายขบวนการหลอกลงทุนคริปโต เสียหายกว่า 30 ล้านบาท
สืบเนื่องจากมีผู้เสียหายได้แจ้งความผ่านระบบออนไลน์ ว่าถูกหลอกลงทุนในเงินสกุลดิจิตอล โดยผู้ต้องหาได้เข้ามาคุย ตีสนิท ก่อนหลอกให้ลงทุนในแพลตฟอร์ม https://neccorpo.site/ อ้างว่าจะได้รับผลตอบแทนสูง ผู้เสียหายเลยตัดสินใจนำเงินไปลงทุน แรกๆ มีการถอนกำไรได้จริง ลงทุนหลักแสนบาท ได้กำไรกลับมา 10,000 บาทในระยะเวลาอันสั้นทำให้ผู้เสียหายตายใจ จากนั้นผู้ต้องหาก็ได้หลอกล่อให้ผู้เสียหายลงทุนเพิ่ม และให้เข้าไปดูหน้าแพลตฟอร์มลงทุนว่าขณะนี้ผู้เสียหายได้กำไรอย่างมหาศาล แต่นั่นเป็นเพียงตัวเลขปลอมที่ขึ้นแสดงในแพลตฟอร์มเท่านั้น และเมื่อผู้เสียหายลงทุนในจำนวนสูงขึ้นเรื่อยๆ กลับถอนเงินไม่ได้ สุดท้ายสูญเงินไปกว่า 2 ล้านบาท
ทางตำรวจจึงสืบสวนจนสามารถขออำนาจศาลอาญาออกหมายค้น และหมายจับผู้ต้องหาหลักในกระบวนการนี้ได้ จำนวน 2 ราย เป็นชายสัญชาติจีน 1 ราย อายุ 34 ปี และหญิง สัญชาติไทย 1 ราย อายุ 21 ปี นอกจากนี้ยังพบว่ามีผู้เสียหายที่ตกเป็นเหยื่อของแพลตฟอร์มนี้อีก 28 คดี มูลค่าความเสียหายกว่า 30 ล้านบาท
ผู้ต้องหาทั้งคู่มีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกัน ฝ่ายหญิงมีอาชีพขายสินค้าย่านประตูน้ำ ชายชาวจีนซึ่งมีภรรยาและครอบครัวอยู่แล้ว ได้มาพบรักจนมีความสัมพันธ์กัน ฝ่ายหญิงจึงเปิดบัญชีคริปโตให้ชายชาวจีนใช้ จากนั้นร่วมกันเปิดร้านขายรองเท้าในย่านเยาวราช ผลประกอบการไม่ค่อยดีนัก แต่ทั้งคู่กลับใช้ชีวิตหรูหรา ขับรถหรู ใช้สินค้าแบรนด์เนม และสะสมตุ๊กตา Bearbrick กว่า 30 ตัว ฝ่ายชายเดินทางเข้า-ออกไทยเป็นระยะมากว่า 3-4 ปี และยังมีการเดินทางไปที่ประเทศเพื่อนบ้านด้วย จึงเชื่อได้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และมีรายได้จากการหลอกผู้เสียหาย
จากการตรวจค้นเป้าหมาย 5 จุด ในกรุงเทพมหานคร และ จ.สมุทรสาคร ได้ตรวจยึดของกลางและทรัพย์สินที่เกี่ยวข้อง หลายรายการ ทั้งตุ๊กตา Bearbrick จำนวน 30 ตัว, โทรศัพท์มือถือ จำนวน 11 เครื่อง, รถยนต์หรู ยี่ห้อ BMW รุ่น X-1 จำนวน 1 คัน, รถยนต์ ยี่ห้อ Toyota รุ่น Alphard จำนวน 1 คัน, โฉนดคอนโด จำนวน 1 ฉบับ และเสื้อผ้า เครื่องประดับแบรนด์เนมหลายรายการ รวมมูลค่าของกลางและทรัพย์สินที่ตรวจยึดได้กว่า 20 ล้านบาท
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงแจ้งข้อกล่าวหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, สมคบกันกันฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ” นำตัวพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังพบข้อมูลสำคัญในโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหา รวมทั้งข้อมูลสลิปโอนเงินกว่า 5,000 รายการ ในระยะเวลาไม่ถึงปี ซึ่งมียอดการโอนแต่ละครั้ง ตั้งแต่ 1-5 แสนบาท ทำให้เชื่อว่าขบวนการดังกล่าวอาจมีเงินหมุนเวียนหมื่นล้านบาทต่อปี ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผล เพื่อนำตัวผู้กระทำผิดในขบวนการดังกล่าวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.-420-สำนักข่าวไทย