“รังสิมันต์” เผยจากข้อมูลพบ “ไบโอเมทริกซ์” ไม่เก็บข้อมูลอัตลักษณ์

รัฐสภา 20 ก.พ.-“รังสิมันต์” เชิญหน่วยงานมั่นคง ถก กมธ. จี้ถามการระบุตัวตนไบโอเมทริกซ์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ก่อนปล่อยตัวกลับ จากข้อมูลพบระบบใช้ไม่ได้ สนามบินเก็บเพียงใบหน้าและพาสปอร์ต ชี้ 17 ล้านคนเข้าออกไทยอาจไม่ได้เก็บข้อมูล ถ้าเป็นจริงประเทศตกอยู่ในอันตราย หวั่นเป็นแหล่งอาชญากรข้ามชาติปลอมตัวกลับมาทำผิด

นายรังสิมันต์ โรม ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ได้ประชุมพิจารณา เรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมข้ามชาติ โดยได้เชิญผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ มาให้ข้อมูล


นายรังสิมันต์ ประธานกรรมาธิการฯ กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ติดตามตรวจสอบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป คือการส่งคนที่อยู่ในเมียวดี ซึ่งเป็นทั้งเหยื่อคอลเซ็นเตอร์และอาชญากร ไปส่งที่ต้นทาง ทั้งจีนและแอฟริกา มีความน่ากังวลในเรื่องการเก็บข้อมูล สองส่วนที่ต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริง ว่า สรุปเป็นเหยื่อจริงๆ หรือเป็นอาชญากร ซึ่งถ้าหากเป็นอาชญากร คำถามคือมีใครเกี่ยวข้องหรือไม่กับกระบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญ ที่จะใช้นำมาปราบปราม ทลายโครงสร้างอาชญากรรมข้ามชาติ แม้วันนี้จะรู้ว่าใครเป็นใครบ้าง แต่ไม่รู้ทั้งหมด บางกระแสบอกว่ามีบอส และผู้จัดการหนีไปอยู่กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ขณะบางกระแสบอกว่า อาจจะอยู่ไม่ไกลจากใจกลางเมืองหลวงของไทย ซึ่งถ้าเราไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้ ขณะที่จีนจัดการแก้ปัญหาของเขา วันนี้จีนเทายังอยู่ในไทยหรือไม่ และเราจะจัดการอย่างไรเพราะนี่คือเรื่องผลประโยชน์ของไทย ที่จะต้องปกป้องตัวเอง จะมาหวังพึ่ง ประเทศอื่นไม่ได้

นายรังสิมันต์ ยอมรับด้วยว่า การจะเข้าไปแก้ปัญหาไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งการจัดพิสูจน์ ต้องใช้เงิน เวลาและทรัพยากรในการจัดเก็บข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล ต้องเข้าใจว่าจีนเทาพวกนี้มีเงินเยอะสามารถซื้อสัญชาติ ซื้อพาสปอร์ต


“ถ้าเราไม่มีการเก็บอัตลักษณ์ จะรู้ได้อย่างไรว่า ในอนาคตคนเหล่านี้ ถ้าออกจากประเทศและกลับเข้ามาใหม่ อาจจะถือพาสปอร์ตของประเทศหมู่เกาะอะไรซักอย่าง แล้วสามารถใช้ไทยเป็นทางผ่าน ในการเป็นส่วนหนึ่งของแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ หรืออาชญากรรมอื่นๆ เป็นปัญหาใหญ่ที่เราไม่สามารถเพิกเฉยได้” นายรังสิมันต์ กล่าว

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตอนแรกตนก็ไม่คิดว่า จะมีการเพิกเฉยต่อเรื่องอัตลักษณ์และส่งตัวกลับประเทศแบบนี้ แต่ตนมีข้อมูลจากแหล่งข่าวเหตุ ผลที่ไม่สามารถเก็บข้อมูลอัตลักษณ์ เพราะระบบที่เราซื้อมันใช้ไม่ได้อีกแล้ว หมายความว่า เครื่องที่เราใช้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต เชียงใหม่ รวมถึงบริเวณชายแดน มีความเป็นไปได้ว่า ระบบที่เคยซื้อมันไม่ได้มีการจัดเก็บข้อมูลเป็นเวลานาน เท่าที่ตนทราบ มีความเป็นไปได้ว่า คนที่เดินทางเข้าออกประเทศไทย ตัวเลขอาจจะจะถึง 17 ล้านคน อาจจะไม่มีการเก็บข้อมูลอัตลักษณ์ ส่วนที่เก็บที่ ตม. การเก็บหน้าพาสปอร์ต เก็บชื่อ แต่ไม่ใช่ไบโอเมทริกซ์ วันข้างหน้า ถ้าบุคคลเหล่านี้เดินทางเข้าประเทศไทยด้วยสัญชาติอื่น จะไม่สามารถจับได้ วันนี้ที่ประชุมกรรมาธิการ จะสอบถามข้อมูลเรื่องไบโอเมทริกซ์ และเรื่องจีนเทา ที่เกี่ยวข้องกับสแกมเมอร์ และปัญหาความปลอดภัยโดยรวมของประเทศไทย ซึ่งถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง หมายความว่า ความปลอดภัยโดยรวมของประเทศไทยพังทั้งหมด หวังว่าข้อมูลที่ได้มาจะไม่ใช่เรื่องจริง

นายรังสิมันต์ ยังกล่าวถึง การดำเนินคดีกับ หม่อง ชิตตู่ ว่าเป็นการละครหรือการฟอกขาวหรือไม่ เดิมทีอัยการจะไปพบกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ แต่มีการยกเลิกกระทันหัน ซึ่งเรื่องนี้ถ้าเป็นจริงก็ผิด และเกี่ยวข้องกันอย่างชัดเจน กังวลว่าระบบของกฎหมายไทยจะเป็นการฟอกขาว ซึ่งไม่เฉพาะ หม่อง ชิตตู่ แต่ยังมีอาชญากรอีกหลายคนที่ต้องวางเป้าหมายร่วมกันกับหน่วยงานของรัฐ ว่ามีข้อมูลมากน้อยเพียงใด จึงมีการเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มาให้ข้อมูลในวันนี้


ส่วนข้อมูลที่ได้ มีการบอกหรือไม่ว่าเหตุใดระบบ ไบโอเมทริกซ์ถึงใช้ไม่ได้ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เข้าใจว่าเป็นปัญหาเรื่อง ไลเซนส์หมดอายุ ซึ่งเข้าใจว่า ปริมาณไลเซนส์รองรับไม่ได้ เพราะอาจจะหมดอายุ ซึ่งต้องคุยว่าเป็นจริงหรือไม่ เพราะถ้าหากเป็นจริงขึ้นมา และไม่มีแผนสำรอง ประเทศไทยจะเสียหายมาก และเป็นเรื่องอันตราย ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้จีนเทาเต็มบ้านเต็มเมือง

ขณะเดียวกันนายรังสิมันต์ ยังกล่าวถึง ข้อมูลของเมืองไท่ฉาง ของกลุ่ม DKBA ว่า เท่าที่ได้รับทราบข้อมูล เมืองนี้อยู่บริเวณเขาช่องแคบ ที่มีแก๊งสแกมเมอร์อยู่ประมาณหลักหมื่นคน ซึ่งอาจจะรวมเหยื่อ อาชญากร ที่มีการทารุณกรรม มีความโหดร้าย จากข้อมูลของชาวบ้านที่ระบุว่ามีการพบศพช่วงน้ำหลากบริเวณริมแม่น้ำเมยเป็นประจำ ซึ่ง DKBA ก็ไม่ได้มีความเป็นเอกภาพ มีผู้นำคือ พลจัตวา ซาย จอ หล่า หรือโกซาย ซึ่งตนมองว่ามีความโหดร้ายทารุณ ไม่ต่างกับพื้นที่ของ พันเอกหม่อง ชิตตู่ ส่วนเรื่องการใช้ไฟตนเข้าใจว่า น่าจะมีการพ่วงมาก่อนหน้านี้จากภายใน แต่ตอนนี้ตัดไปหมดแล้ว รวมทั้งข่าวที่ตนได้รับจากสื่อมวลชนว่าจะมีการขนถังแก๊สและน้ำมัน ซึ่งอยู่ใกล้กับบ้านของโกซาย อีกด้วย.-315.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

ศาลอาญาฯ อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท”

กรุงเทพฯ 7 ส.ค. – ศาลอาญาพระโขนง อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท” ตีราคาประกัน 100,000 บาท หลังตำรวจนำตัวฝากขัง คดียาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พนักงานสอบสวน สน.คลองตัน ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาพระโขนง ฝากขังครั้งที่ 1 นายธนัตถ์ หรือ ไฮโซลูกนัท อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาคดีกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ โดยศาลอนุญาตฝากขังตามคำร้อง ซึ่งวันนี้ผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ตีราคาประกัน 100,000 บาท โดยผู้ต้องหานำเงินสดเป็นหลักประกันตนเอง.-สำนักข่าวไทย

รมว.ต่างประเทศ ย้ำทูตไทยทั่วโลกแจงผลประชุม GBC

7 ส.ค. – รมว.ต่างประเทศ ถกทูตไทยทั่วโลก ชื่นชมผลประชุม GBC กำชับทูตไทยทั่วโลกทำงานเชิงรุก เดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริง บนพื้นฐานของหลักฐานเชิงประจักษ์ ชี้ “ความจริงจะชนะทุกสิ่ง” นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานการประชุมแบบออนไลน์ ร่วมกับ เอกอัครราชทูตไทย ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต และคณะผู้แทนถาวรไทยในต่างประเทศจาก 70 ประเทศทั่วโลก และกรมต่างๆ เพื่อชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป General Border Committee หรือ GBC ที่ประเทศมาเลเซีย พร้อมมอบนโยบายและแนวทางในการดำเนินการของกระทรวงฯ และสำนักงานในต่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนดังกล่าวอย่างบูรณาการร่วมกัน นายมาริษ กล่าวถึงผลของการประชุม GBC และข้อตกลงที่เห็นพ้องร่วมกันทั้ง 13 ข้อ ว่าเป็นพัฒนาการและก้าวสำคัญสำหรับการเจรจาการหยุดยิง บรรลุเป้าหมายที่ต้องการในเบื้องต้น ซึ่งต้องขอบคุณมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ณ ที่นี้ด้วย โดยกระทรวงพร้อมให้การสนับสนุนกระทรวงกลาโหมในการดำเนินการเจรจาต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาได้สนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวงกลาโหม และทำงานร่วมกันอย่างใกล้ ตั้งแต่การเป็นฝ่ายเลขาฯ การร่างเพื่อเสนอกรอบข้อตกลง โดยหลังจากนี้ไทยพร้อมเปิดรับการเจรจาทวิภาคีผ่านช่องทางทางการทูต เพื่อสนับสนุนภารกิจของกระทรวงกลาโหม ภายใต้เงื่อนไขว่าฝ่ายกัมพูชาเคารพและดำเนินการตามข้อตกลงของการเจรจาหยุดยิงต่อไป […]

ชาวบ้านยังไม่วางใจ แม้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง

อุบลราชธานี 7 ส.ค. – ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดน จ.อุบลราชธานี ยังไม่วางใจสถานการณ์ แม้ผลประชุม GBC ไทย-กัมพูชา ทั้ง 2 ชาติเห็นพ้องข้อตกลงหยุดยิงแล้ว ค่ำคืนนี้หลายหมู่บ้านยังคงมีคำเตือนให้ออกนอกพื้นที่ หลังบางส่วนทยอยกลับเข้ามา .-สำนักข่าวไทย

กต.อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก

กระทรวงการต่างประเทศ 7 ส.ค. – กต. นำผลประชุม GBC อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก เพื่อชี้แจงรัฐบาล-องค์การระหว่างประเทศ พร้อมประเมินระดับความเข้าใจของนานาชาติถึงสถานการณ์ ป้องกันการบิดเบือนข้อมูล นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวเกาะติดพัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้สรุปผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ซึ่งนำโดย พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม หัวหน้าคณะผู้แทนไทย โดยมีผู้แทนจากมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งการประชุมเป็นกลไกหารือทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชา ทั้งนี้ ก่อนการประชุม GBC ประธาน GBC ของทั้ง 2 ฝ่าย ได้เข้าเยี่ยมคารวะ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยได้ยืนยันว่ามาเลเซีย รวมถึงประเทศสมาชิกอาเซียนต่างๆ เห็นตรงกันว่าสนับสนุนให้ใช้กลไกทวิภาคีแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา สอดคล้องกับท่าทีของไทย ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด โดยไม่เสริมกำลังเพิ่ม หลีกเลี่ยงการกระทำที่ยั่วยุทั้งทางการทหาร […]