ผลแล็บ ดินโคลนน้ำท่วมแม่สาย พบแร่ธาตุเพียบ

1 ต.ค. – ผลตรวจจากห้องปฏิบัติการ ระบุดินโคลนที่ถล่มบ้านเรือนประชาชน อ.แม่สาย จ.เชียงราย มีแร่ธาตุสูง เหมาะแก่การเพาะปลูก ขณะที่ GISTDA ไขคำตอบที่มาของดินโคลน

ผศ.มงคลกร ศรีวิชัย อาจารย์ประจำหลักสูตรวิศวกรรมโยธาและสิ่งแวดล้อม ม.เทคโลโยลีราชมงคลล้านนา เชียงราย ระบุว่า ได้นำดินตะกอนน้ำท่วมจากแม่สาย มาส่งให้ห้องปฏิบัติการเฉพาะทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตร ปรากฏว่า ผลแล็บดินโคลน พบแร่ธาตุเพียบ เหมาะกับการเพาะปลูก

ส่วนดินโคลนมากมายขนาดนี้ มาจากไหน GISTDA สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) เผยแผนภาพไขคำตอบไว้ ว่า หากพิจารณาในเชิงภูมิศาสตร์ ตัวเมืองแม่สายตั้งอยู่ติดกับเชิงเขาและติดกับแม่น้ำที่ไหลมาจากเขตภูเขา ในขณะเดียวกันการศึกษาด้านธรณีวิทยาพบว่าพื้นที่บริเวณตัวเมืองเเม่สาย โดยเฉพาะสองฝั่งแม่น้ำสายที่ใกล้กับด่านชายแดนไทย-เมียนมา เป็นพื้นที่ที่มีดินตะกอนไหลทับถมสะสมมาตั้งแต่อดีต ด้วยที่ตั้งของเมืองและลักษณะภูมิประเทศทำให้น้ำที่หลากลงมาจากต้นน้ำของแม่น้ำสาย มีความเชี่ยวและแรงโดยธรรมชาติ

โดยแม่น้ำสาย ทอดตัวในเขตภูเขาที่เป็นพื้นรับน้ำลงสู่แม่น้ำซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในเขตประเทศเมียนมาประมาณ 80% และอีก 20% เท่านั้นที่ทอดยาวอยู่ในพื้นราบลุ่มในเขตแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก ในสภาวะปกติลักษณภูมิประเทศแบบนี้มักจะนำความอุดมสมบูรณ์มาสู่พื้นที่ ด้วยแร่ธาตุต่างๆ ที่ปะปนมากับตะกอนในแม่น้ำ แต่การใช้ชีวิตของมนุษย์เปลี่ยนไป ปัจจุบันพื้นที่ต้นน้ำแม่สายได้เปลี่ยนจากป่ากลายเป็นพื้นที่เกษตรกรรม รวมถึงเหมืองแร่ ทำให้ศักยภาพของป่าไม้การชะลอและกักเก็บน้ำลดลงไปด้วย

เมื่อเปิดหลักฐานบนภาพดาวเทียม รายละเอียดสูง บันทึกภาพเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2567 หลักฐานปรากฏชัดเจนในพื้นที่ใกล้ชายแดนประเทศเมียนมา ในเขตอำเภอแม่สาย ซึ่งเป็นแค่ส่วนเล็กๆ ของพื้นที่รับน้ำทั้งหมดของแม่น้ำสาย พบดินถล่มหลายจุดปรากฏเป็นสีน้ำตาลแดง ตัดกับสีเขียวของป่าไม้หรือแปลงเกษตรอย่างเห็นได้ชัด แต่ละร่องรอยมีความกว้างประมาณ 20–30 เมตร หรือเทียบเท่ากับถนนขนาด 4 เลน และมีความยาวหลายสิบเมตรถึงหลายร้อยเมตร แตกต่างกันไปตามลักษณะพื้นที่ ซึ่งภาพนี้สะท้อนให้เห็นถึงหนึ่งในสาเหตุของตะกอนดินโคลนจำนวนมากที่ไหลทับถมในพื้นที่ด้านล่าง

ทั้งนี้ ทุกๆ ความสูญเสีย มักก่อให้เกิดประสบการณ์และการเรียนรู้เพื่อการอยู่รอด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการนำไปปรับใช้ ต่อยอดสู่การจัดการที่มีประสิทธิภาพ .-สำนักข่าวไทย