จีน 5 ก.ย. – นายกรัฐมนตรี พอใจผลการประชุม BRICS ดีใจที่จีนและกลุ่มประเทศBRICS เห็นศักยภาพ ของไทย เร่งสร้างความเป็นหุ้นส่วนในการพัฒนากับทุกประเทศ วอนอย่าเพ่งเล็งว่าการหารือกับจีนและรัสเซียจะเฉพาะเรื่องซื้ออาวุธ ย้ำทำทุกทางให้นานาประเทศยอมรับประเทศไทย
“เพ็ญพรรณ แหลมหลวง” ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไทย ติดตามภารกิจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการประชุมผู้นำกลุ่มประเทศ BRICS กับประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนา ณ เมืองเซี่ยเหมิน มณฑลฝูเจี้ยน สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 4-5 กันยายน 2560 รายงานว่า นายกรัฐมนตรี เปิดเผย ว่า การประชุมในครั้งนี้ จีนให้ความสำคัญกับ 5 ประเทศ รวมถึงประเทศไทย ซึ่งการที่จีนเชิญไทยเข้าร่วม แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างไทยและจีน และการให้ความสำคัญกับไทยในฐานะตลาดเกิดใหม่ และศักยภาพในการเชื่อมโยง โดยในที่ประชุม ไทยได้เสนอประเด็นสำคัญที่ สร้างความเป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การสร้างความเป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนานั้น จะใช้จุดแข็งที่แต่ละประเทศมี มาส่งเสริมกันใน 4 ประเด็น คือการเติบโตไปพร้อมกันกับประเทศเพื่อนบ้านในแนวทาง ประเทศไทยบวกหนึ่ง สร้างความเข้มแข็งจากภายใน ซึ่งไทยได้น้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่9 มาปฏิบัติ ควบคู่กับนโยบายไทยแลนด์4.0 หัวใจสำคัญคือการเชื่อมโยงทางดิจิตัล และความร่วมมือด้านการพัฒนาต่าง ๆ ซึ่งไทยพร้อมจะร่วมมือกับทุกประเทศ ตอกย้ำการเติบโตอย่างยั่งยืนโดยคำถึงถึงการพัฒนาประเทศควบคู่ไปกับการปกป้องสิ่งแวดล้อม และ ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ต้องคำนึงถึงผู้รับเป็นหลัก มีช่องทางหลากหลาย ทั้งเหนือ-ใต้ ใต้-ใต้ และไตรภาคี
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการหารือทวิภาคีกับ นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่า ได้ย้ำถึงความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ รอบด้านขับเคลื่อนที่ดำเนินการอยู่ให้เป็นรูปธรรม ตลอดจนความคืบหน้าของโครงการความร่มมือรถไฟไทย-จีน ที่ต้องการดำเนินโครงการให้สำเร็จลุล่วง เพราะเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการเชื่อมโยงพัฒนา สอดคล้องยุทธศาสตร์ Belt and Road (BRI) ของจีนที่ไทยสนับสนุนเพื่อให้ประเทศและประชาชนได้รับประโยชน์จากเส้นทางสายไหมตลอดจน ให้ยุทธศาสตร์ BRI สอดคล้องกับ EEC ของไทยด้วยการยินดีให้การสนับสนุนนักลงทุนจากจีน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงการหารือกับนายวลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีแห่งสหพันธรัฐรัสเซียว่า เป็นการพูดคุยและติดตามความก้าวหน้าจากการประชุมที่เมืองโซชิ ปีที่แล้วซึ่งเป็นการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างไทยรัสเซีย 120 ปี โดยในเร็วๆ นี้จะมีการเฉลิมฉลองที่ไทยจะจัดโขนชุดใหญ่ไปแสดงทีรัสเซียเพื่อกระชับความสัมพันธ์ นอกจากนี้มีการหารือเรื่องความสัมพันธ์ด้านความมั่นคง ความร่วมมือการก่อการร้ายข้ามชาติ งานข่าวกรอง ก็จะมีการหารือกันในโอกาสต่อไป ซึ่งจะเปิดช่องทางใกล้ชิดกันให้มากขึ้น เพราะเป็นประเด็นที่อ่อนไหว
“ผมไม่อยากให้มองว่าการที่ไทยหารือกับจีนและรัสเซียจะหารือเฉพาะเรื่องการค้าขาย และการซื้ออาวุธเท่านั้น เรื่องนั้นเป็นเพียงเศษเสี้ยวของการพูดคุย หากมองให้ดีอาวุธคือสินค้าประเภทหนึ่งที่ไทยไม่สามารถผลิตเองได้ ไทยมีแต่สินค้าการเกษตร การพูดคุยกัน มีการหารือทั้งสินค้าต่างตอบแทน อย่ามองว่าพูดกับใครหรือคบกับใคร จะเป็นแค่การซื้ออาวุธ ทางรัสเซียยังให้ความสนใจเรื่องการท่องเที่ยว ซึ่งชาวรัสเซียมาเที่ยวในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก รัฐบาลเตรียมจะหาแนวทางให้มีการท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี เชื่อมโยงจากภูมิภาคไปยังภูมิภาค เช่นเดียวกับที่ต่อยอดการท่องเที่ยวไปได้ถึง 7 มณฑลของจีน หากสามารถขยายผลไปยังรัสเซียได้ จะเพิ่มโอกาสการลงทุนด้านการคมนาคมขนส่งของไทยได้มากขึ้น”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ในระหว่างการประชุมมีโอกาสทักทายประเทศสมาชิกที่เข้าร่วม อาทิ อินเดีย พูดคุยเรื่องการสร้างถนนไปสู่โครงการทวาย เมียนมา ซึ่งจะสามารถเชื่อมต่อโครงการ อีอีซีของไทยได้ และเชื่อมต่อวันเบลท์วันโรดได้อีกทางหนึ่งด้วย ได้คุยกับประเทศกินี และทาจิกิสถาน รวมถึงได้มีการพูดคุยกับเม็กซิโก เชิญให้มาเที่ยวประเทศไทย ซึ่งทางเม็กซิโกตอบรับคำเชิญ
“ผมพอใจภาพรวมในการประชุมครั้งนี้ การที่ประเทศไทยได้รับเกียรติเข้าร่วมประชุม เราไม่ได้ถือว่าเป็นตัวแทนของอาเซียน แต่เราเป็นตัวแทนของประเทศที่มีศักยภาพและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับจีน เป็นประเทศที่มีการพัฒนาการตลาดทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ส่วนในโอกาสหน้าประเทศไทยจะได้เข้าร่วมประชุม BRICS อีกหรือไม่ ต้องขึ้นอยู่กับประเทศสมาชิกว่าจะเห็นชอบอย่างไร แต่ขณะนี้ต้องถือว่า เราเข้ามามีส่วนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของBRICS แล้ว คือการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง เรามีความเชื่อมโยงทางกายภาพ และอีกหลายเรื่องที่มีศักยภาพ ทั้งเศรษฐกิจดิจิทัลที่เราทำอยู่ ถึงแม้ว่าไทยจะไม่ได้เข้าประชุมครั้งหน้า แต่ก็ถือว่าไทยอยู่ในกระบวนการ ได้รับประโยชน์อย่างแน่นอน ขอให้คนไทยสบายใจว่า ผมพยายามอย่างเต็มที่ที่จะทำให้ประเทศต่าง ๆ ยอมรับประเทศไทยไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใดก็ตาม” นายกรัฐมนตรี กล่าว .-สำนักข่าวไทย