กรุงเทพ 26 มิ.ย. – คลับรักษ์โลกลดก๊าซเรือนกระจกแห่งแรกของไทย จัดเสวนา “READY,SET,NET ZERO with Carbon Markets Club” โดยนักวิชาการชี้ปี 2566 อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 1.63 องศาฯ ทำให้จำนวนปลาในทะเลหายไป 50% ในส่วนของไทยแต่ละปีปล่อยก๊าซเรือนกระจก ปีละ 300 ล้านตันคาร์บอน ขณะที่สถาบันการเงินพร้อมสนับสนุนธุรกิจสีเขียวสู่ความยั่งยืนด้วยโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ
“โลกเดือด เรื่องดุ” ถือเป็นเรื่องท้าทายในการปรับตัวให้อยู่รอด Carbon Markets Club คลับรักษ์โลกลดก๊าซเรือนกระจกแห่งแรกของไทย จัดเสวนา “READY,SET,NET ZERO with Carbon Markets Club”ในโอกาสครบรอบ 3 ปีของการก่อตั้ง
ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม และรองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวเสวนาในหัวข้อ “Warmer than in hell พรุ่งนี้โลกจะร้อนยิ่งกว่านรก” ว่า ข้อมูลปี 2566 จากการสอบถามนักวิทยาศาสตร์ด้านทะเลและภูมิอากาศ 380 คนทั่วโลกระบุว่า อุณหภูมิโลกสูงขึ้นเฉลี่ยปีละ 1.63 องศาฯ ซึ่งถือว่าทะลุ 1.5 องศาฯ ที่ทั่วโลกกำลังมีความพยายามรณรงค์จะไม่ให้โลกมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นจากเดิมไม่เกิน 1.5 องศาฯ ต่อปี โดยอุณหภูมิที่มนุษย์สามารถปรับตัวอยู่ได้จะอยู่ที่ไม่เกิน 2 องศาฯ ปีที่แล้วเพิ่มขึ้น 1.63 องศาฯ ปีนี้ร้อนกว่าปีที่แล้วอุณหภูมิจะขึ้นมาเท่าไหร่ เชื่อว่าปี ค.ศ.2100 อุณหภูมิจะทะลุ 2.5-3 องศาฯ ต่อปีแน่นอน นอกจากนี้ยังส่งผลถึงทะเลเดือดทำให้ขณะนี้จำนวนปลาในทะเลหายไป 50% และยังทำให้จำนวนชนิดของปลาหายไป 30% อีกด้วย โลกเดือดยังทำลายหญ้าทะเลส่งผลให้พะยูนหนีมาหากินในแหล่งใหม่ โดย 5 เดือนที่ผ่านมา มีพะยูนตายไปแล้ว 6 ตัว
หลังจากนั้นเป็นการเสวนาในหัวข้อ “Ready,Set,Net Zero:SMEs ปรับตัวอย่างไรในยุคโลกเดือด คุณกลอยตา ณ ถลาง รักษาการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ งานบริหารความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และประธาน Carbon Markets Club กล่าวว่า 10 ปีที่ผ่านมา โลกเดือดทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ ปีที่แล้ว 2566 ถือเป็นปีที่ร้อนที่สุดนับตั้งแต่มีการบันทึกสถิติมา เราต้องช่วยกันควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้ร้อนเกิน 1.5 องศาฯ ต่อปี ซึ่งขณะนี้ไทยอยู่อันดับที่ 9 ของโลกจาก 180 ประเทศ ที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงขึ้นต่อปีมากที่สุด ทำให้ไทยเราสูญเสียโอกาสคิดเป็นมูลค่า 7.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับไทยตั้งเป้า Net Zero ในปี ค.ศ.2065 สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ตั้งเป้า Net Zero ในปี ค.ศ.2050 และจีน ตั้งเป้า Net Zero ปี ค.ศ.2060 ทั้งนี้ ที่ผ่านมาไทยเราปล่อยก๊าซเรือนกระจก ปีละ 300 ล้านตันคาร์บอน โดย 1 ตันคาร์บอนจะเทียบเท่ากับลูกบอลลูนท่องเที่ยวขนาดใหญ่ ลองนึกภาพตามว่า แต่ละปีไทยเราจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือลูกบอลลูนสู่ชั้นอากาศถึง 300 ล้านลูกต่อปีนั้นจะมากมายขนาดไหน โดยหลังจากนี้ไปผู้ประกอบการด้านอุตสาหกรรมจะต้องรับรู้ รับทราบว่า จะสามารถปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ในปริมาณเท่าไหร่ ถ้าปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมาก หรือปล่อยเกินมาตรฐานกำหนดจะต้องจ่ายภาษีในอัตราที่สูงขึ้น
คุณเชวง เศรษฐพร ผู้อำนวยการอาวุโส แผนกพัฒนาผลิตภัณฑ์สินเชื่อบรรษัท ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า นับจากนี้ไปผู้ประกอบการจะต้องรับรู้ก่อนว่า เรายืนอยู่ตรงไหน เราต้องรู้จักการวางแผน ต้องมีเครื่องมือเพื่อก้าวสู่กลไกลการลดคาร์บอนซึ่ง SMEs ต้องรู้จัก ESG รวมทั้งมีความตั้งใจในการทำ ESG มากน้อยเพียงใด ในส่วนของสถาบันการเงินก็พร้อมสนับสนุนการทำธุรกิจสีเขียวและพร้อมสนับสนุนธุรกิจสู่ความยั่งยืน โดยเฉพาะธนาคารกรุงศรีอยุธยา มีโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้กับธุรกิจสีเขียว โดยมีอัตราดอกเบี้ย 3.5% ต่อปีและผ่อนชำระได้นานถึง 10 ปี ทั้งนี้ภารกิจ ESG ขึ้นกับทัศนคติของผู้ประกอบการ ถ้ามีไอเดียหรือแนวคิดที่ดีก็จะมีสถาบันการเงินให้การสนับสนุนอย่างแน่นอน.-513-สำนักข่าวไทย