กรุงเทพฯ 4 มี.ค.- ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) จัดงานเสวนาผ่านช่องทางออนไลน์ SET-IAA Hot Issue “ไขปริศนาราคาหุ้นร้อนแรงจะมีการประเมินมูลค่าอย่างไรดี”
นายสมบัติ นราวุฒิชัยเลขาธิการและกรรมการผู้อำนวยการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน กล่าวเปิดงานว่า ในแต่ละปีแต่ละช่วงเวลารวมถึงขณะนี้ บรรยากาศการซื้อขายหุ้นมีทั้งหุ้นที่ร้อนแรงพอไปได้และเงียบเหงา แต่ ก็ยังต้องจับตาอย่างต่อเนื่องและมีมีความจำเป็นต้องนำผู้เชี่ยวชาญมาอธิบายทั้งทางทฤษฎีและปฏิบัติ รวมถึงนำกรณีศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศมาวิเคราะห์ ประเมินค่า คำแนะนำกลยุทธ์ในการลงทุน รวมถึงการเตรียมพร้อมในการรับความเสี่ยง โดยในครั้งนี้มีประเด็นที่น่าสนใจ ได้แก่ วัฏจักรราคาหุ้นที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จะปรับตัวอย่างไร, สัญญาณความผิดปกติที่ต้องจับตามองว่าอาจหมดรอบ, วิธีการประเมินมูลค่าของหุ้นร้อนแรงแบบนี้ จุดเสี่ยงทางธุรกิจที่ต้องจับตา , รวมไปถึงความหมายของสัญลักษณ์ต่างๆ และวิธีการที่ผู้ลงทุนควรปฏิบัติระหว่างการแสดงของสัญลักษณ์ แหล่งข้อมูล และคำแนะนำผู้ลงทุน
นายสุนทร ทองทิพย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า วัฏจักรราคาหุ้น ตามทฤษฎีของ Wyckoff Logic การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นมีรูปแบบสี่สภาวะ ซึ่งนักลงทุนต้อง วิเคราะห์ให้ดีว่าตอนนี้หุ้นอยู่ในเฟสไหน ได้แก่
1.เตรียมพร้อมก่อนขึ้น (Accumulation) มีการเก็บสะสมหุ้นในกรอบ Side แกว่งขึ้นลงอยู่พักใหญ่มีการซื้อซื้อขายเป็นระยะแต่ราคาจะไม่เปลี่ยนกรอบนักลงทุนส่วนใหญ่จะไม่สนใจในระยะนี้
2.ราคาทะยานขึ้น(mark up) มีการเปลี่ยนกรอบของราคายกตัวสูงขึ้นเกิดกระแสในหมู่นักลงทุนหุ้นตัวนั้นจะเป็นที่พูดถึงในตลาดมีแรงซื้อเนื่องจากมีตัวกระตุ้นเช่นการปล่อยข่าวดีเรื่องผลประกอบการที่ก้าวกระโดด ข่าวลือได้งานโครงการใหญ่, มีพาทเนอร์ระดับโลกเข้ามาถือหุ้นมีใหญ่เข้าไปถือหุ้น มีการให้เป้าหมายไปไกล ราคาหุ้นเพิ่ม มาร์เก็ตแคปโต
3.รักษาระดับราคา(distribution) ราคาเริ่มขึ้นแกว่งในกรอบไซด์เวย์มีการซื้อขายอีกเป็นระยะเวลาหนึ่งพร้อมมีการประคบขาวมากขึ้นสร้างมุมมองเชิงบวกและความมั่นใจให้นักลงทุนในการเข้าซื้อแม้มูลค่าจะแพงกว่าระยะเตรียมพร้อมก่อนขึ้นก็ตาม
4.ลดระดับ หรือหมดรอบ (mark down) ราคาเริ่มเปลี่ยนกรอบต่ำลงแต่ยังมีนักลงทุนจำนวนมากเข้าไปรับและช้อนซื้อตามกระแสและเป้าหมายที่ถูกปรับขึ้นจนถึงภาวะนิ่งตลาดจะเทขายออกมาอย่างรุนแรงซึ่งการหมุนรอบของหุ้นอาจเกิดจาก sell on fact, ผลประกอบการไม่เป็นไปตามคาด, ราคาขึ้นเกินปัจจัยพื้นฐาน , มีบทวิเคราะห์ออกมาเตือน และตกสวรรค์หลุดจากการคำนวณใน SET50 /SET100
สำหรับสัญญาณความผิดปกติที่ต้องจับตาว่าหุ้นที่ราคาปรับตัวขึ้นผิดปกติอาจหมดรอบ ในระยะสั้นและ/หรือระยะยาว ได้แก่ กำไรโตในอัตราที่ชะลอตัว, มีการบันทึกรายการพิเศษเพื่อทำกำไรให้ดูดีแต่กำไรของจริงดูแย่, ราคาหุ้นขึ้นแรงเกินจน P/E หรือP/BV สูงมากๆ เมื่อเทียบกับ ROE ที่เป็นไปได้, ราคาหุ้นปรับขึ้นแรงเกินจนตลาดหลักทรัพย์สั่งให้เข้ามาตรการกำกับการซื้อขายตั้งแต่ระดับ 1-3, บริษัทหลักทรัพย์ให้ซื้อขายในบัญชี cash balance หรือไม่ ให้ใช้วงเงิน margin เนื่องจากราคาหุ้นปรับขึ้นลงร้อนแรงเกิดนจน volatility ของราคาหุ้นเกิน 100% ในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา
, การแจกปันผลพิเศษ การแตกพาร์ แจกหุ้นปันผล แจกวอเรนต์, มีการเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง การโยน big lot ให้กับกลุ่มนักลงทุน การโอนหุ้นออกของผู้ถือหุ้นใหญ่ และหุ้นเข้าเขตสัญญาณอันตรายเช่น ขอเจรจายืดหนี้ ส่งงบไม่ทัน ผู้สอบบัญชีให้ความเห็นมีเงื่อนไข ผู้บริหารหรือกรรมการอิสระลาออกพร้อมกันหลายคน ตลาดขึ้นเครื่องหมาย ”C” และการเปลี่ยนผู้สอบบัญชีระหว่างรอบ โดยหุ้นร้อนแรงจะมีการประเมินมูลค่าจาก discount cash flow, P/E และวัดด้วยทิศทางการปรับเพิ่มขึ้นของ ROE
ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ฯ ยกระดับมาตรการกำกับการซื้อขายหลักทรัพย์ 3 ระดับ มีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ 4 เม. ย. 2565 และเกณฑ์คำสั่งให้เข้ามาตรการกำกับการซื้อขายปัจจุบันมี 2 แบบคือ 1)เกณฑ์รายวัน (ติด CB 3 สัปดาห์) โดยตลาดจะออกมาตรการควบคุมหากบริษัทไม่สามารถชี้แจงเหตุผลที่ราคาหุ้นปรับขึ้นร้อนแรงในช่วง 1-3 วันทำการ 2) เกณฑ์รายสัปดาห์ (ติด CB 6 สัปดาห์) โดยอิงจาก P/E เกิน 40x , มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยเกิน 100 ล้านบาทต่อวัน และ ละ turn over ratio มากกว่าหรือเท่ากับ 40% ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีมาตรการล่าสุดที่กำลังจำนำมาใช้คือการทำ auction โดยเปิด จับคู่ซื้อขายวันละ 3 รอบ สุ่มเวลาจับคู่เหมือนหุ้นปกติ ช่วงเบรกที่ 1 และที่2 ไม่เปิดให้ส่งคำสั่งซื้อขาย แต่สามารถอัพเดต และยกเลิกคำสั่งได้ ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าควรกำหนดการใช้ Auction ในการซื้อขายตอนไหน จะต้องรอให้มาตรการควบคุม หุ้นร้อนแรง T1-T3 ก่อน แล้วค่อยใช้หรือจะใช้ควบคู่กับมาตรการปกติ ซึ่งมองว่ามีข้อดีคือทำให้เกิดการปั่นหุ้นได้ยาก
นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา ผู้อำนวยการอาวุโส บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า ราคาหุ้นร้อนแรงไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะเมืองไทยแต่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยจะมีการเก็งกำไรเป็นรอบๆ ตามลักษณะของแต่ละตลาดหุ้น แต่ส่วนใหญ่จะเหมือนกันที่ราคาหุ้นจะร้อนแรงช่วงปลายรอบการขึ้นของหุ้น ทั้งหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานดีและไม่ดี รวมถึงบ่งชี้สภาพตลาดหุ้นได้อีกด้วย โดยรอบของหุ้นแบ่งออกเป็น 4 ช่วง ได้แก่ ช่วงแรกที่หุ้นยังนิ่ง (smart money) ช่วงที่สองราคาหุ้นเริ่มมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น กองทุนจะเริ่มเข้ามาลงทุน ช่วงที่สามมีการปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง ซึ่งเป็นช่วงที่นักลงทุนรายย่อยจะเข้ามาค่อนข้างมาก เป็นช่วงที่กลุ่ม smart money เริ่มขายทำกำไร และช่วงที่4 ที่หุ้นจะย่อลงมาจากจุดพีค เป็นช่วงที่นักลงทุนจะเจ็บตัว ค้างอยู่นาน 1-2 ปี ก่อนจะกลับเข้าสู่ fundamental ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ไทยช่วงปลายปีที่แล้ว ถือว่าอยู่ในช่วงนี้ได้
สัญญาณผิดปกติ ของหุ้นที่อาจหมดรอบ ได้แก่ 1)ราคาหุ้น ขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญโดยที่ไม่มีสัญญาณการเปลี่ยนแปลงทางปัจจัยพื้นฐาน 2) ไม่ได้เปลี่ยนแนวทางการทำธุรกิจที่สมเหตุสมผล 3)ไม่เคยเป็นอย่างนี้ในอดีตมาก่อน 4) ราคาหุ้นสวนทางกับเทรนด์และวัฏจักรอุตสาหกรรมรวมถึงสวนทางกับบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันอย่างมีนัยยะสำคัญ นอกจากนี้ยังต้องพิจารณาว่ามีการลงทุนหรือออกข่าวจะทำธุรกิจใหม่ตามกระแสโดยที่บริษัทไม่มีความสามารถหรือไม่เคยทำมาก่อน, Growth Investment Ratio (Capex/CFO) ต่ำ และสถานะทางการเงินอ่อนแอ, แนวโน้มไปได้มีอัตราการเติบโตที่ชะลอตัวและเริ่มออกมาผิดคาด, ช่วงที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงไปปริมาณการซื้อขายเบาบางหรือลดลดลงเมื่อเทียบกับช่วงที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น, Foeward P/E เกิน 40x-50x ผู้บริหารขายหุ้นออกมาในปริมาณสูง รวมถึงดูประวัติการขึ้นเครื่องหมายของตลาดหลักทรัพย์ฯ เช่น “C” “P” “H” “SP” หรือการเข้า Cash balance
สำหรับวิธีการการประเมินมูลค่าหุ้นร้อนแรงพิจารณาจาก Valuation metrics จากการทำ M&A, Peers comparison หากเป็นหุ้น IPO ให้เอากรอบ valuation ของ peers มาเป็นตัวกำหนด, PEG หากเป็นบริษัทที่มีการเติบโตสูงจากการใช้ โดย PEG มากกว่า 1 จะบ่งชี้ว่าหุ้นแพงเกินไป, DCF และ DDM ยังมีความจำเป็นสำหรับนักลงทุนที่มั่นใจในแนวโน้มบริษัทว่ามีความน่าสนใจสูงเพื่อประกอบการตัดสินใจเชิงพื้นฐาน.-516-สำนักข่าวไทย