ยิ่งลักษณ์ แถลงปิดคดียันไม่ได้ทำผิด ขอศาลยกฟ้อง

ศาลฎีกาฯ 1ส.ค.- “ยิ่งลักษณ์” วอนศาลพิพากษาตามข้อเท็จจริง  อย่าฟังการชี้นำของหัวหน้า คสช. เผยทนเจ็บปวดต่อสู้กับข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นธรรม  ยืนยันโครงการจำนำข้าวทำให้คุณภาพชีวิตชาวนาดีขึ้น ย้ำไม่ได้ทำผิดขอศาลยกฟ้อง เตรียมฟังคำพิพากษา 25 ส.ค.นี้ 


น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แถลงปิดคดีด้วยวาจาในคดีโครงการรับจำนำข้าว ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ในความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบฯ. ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา157 และความผิดตาม พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2542 กรณีละเลยไม่ดำเนินการยับยั้งโครงการรับจำนำข้าวซึ่งทำให้รัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท 

น.ส.ยิ่งลักษณ์ใช้เวลาแถลงปิดคดีด้วยวาจาเป็นเวลา1 ชั่วโมง ซึ่งเป็นการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาใน 6 ประเด็น คือ 1.ปฏิเสธละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามข้อกล่าวหาของป.ป.ช.  2.นโยบายรับจำนำข้าวเป็นนโยบายสาธารณะ ที่ไม่ได้คำนึงถึงกำไรหรือขาดทุน  3. การบริหารจัดการ เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมายและระเบียบทั้งหมด  4. นำหลักฐานที่เป็นผลสำรวจของสภาพัฒน์ ธกส. และสถาบันการศึกษา มายืนยันว่า โครงการรับจำนำข้าวได้ยกระดับคุณภาพชีวิตชาวนาให้ดีขึ้นจริง 5. ยืนยันว่าได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบทันทีเมื่อที่ป.ป.ช.และสตง.แจ้งข้อพิรุธมา และ 6. ยืนยันว่าการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี  เป็นการทำงานของระดับผู้ปฏิบัติการ  ซึ่งมีคณะกรรมการรับผิดชอบเฉพาะโดยตรงอยู่แล้ว 


น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า คดีนี้มีข้อพิรุธมากมายตั้งแต่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่เร่งรัดในการชี้มูลความผิดโดยใช้เวลาไต่สวนเพียง 79 วันเริ่มต้นกล่าวหาด้วยพยานเอกสารเพียง 329 แผ่น ชี้มูลความผิดหลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นตำแหน่งเพียง 1 วัน และในชั้นก่อนที่อัยการสูงสุดจะฟ้องคดี พบว่ามีรายงานข้อไม่สมบูรณ์เพียงพอที่จะดำเนินคดี แต่สุดท้ายอัยการสูงสุดกลับยื่นฟ้องคดีทั้งที่ไม่มีการรวบรวมพยานหลักฐาน คณะทำงานร่วมระหว่าง ป.ป.ช.กับอัยการสูงสุด อีกทั้งอัยการสูงสุดยังแถลงว่าจะฟ้องคดี ก่อนที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) จะลงมติถอดถอนตนก่อนเพียง 1 ชั่วโมง ที่สนช.จะลงมติถอดถอนจึงถือเป็นการชี้นำหรือไม่

น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ยังพบว่าในชั้นการฟ้องคดีและไต่สวนในศาล มีการฟ้องนอกสำนวนการไต่สวนของ ป.ป.ช. ที่มีการสร้างพยานหลักฐานเพิ่มเติมภายหลัง และความผิดของคำฟ้องที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการเสื่อมสภาพของข้าว  และการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว ทั้งขั้นตอนการรับจำนำและขั้นตอนการระบายข้าว ที่ไม่ปรากฏในรายงานการไต่สวนของคณะกรรมการป.ป.ช. ซึ่งในชั้นการพิจารณาคดีอัยการสูงสุดในฐานะโจทก์ได้เพิ่มเติมพยานหลักฐานใหม่ และนำสำนวนพยานเอกสารอีกกว่า 60,000 แผ่น เรื่องการทุจริตในขั้นตอนการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) มาอ้างว่าเป็นพยานหลักฐานในคดีเดียวกัน

ซึ่งโครงการ ระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐไม่ใช่อำนาจที่เกี่ยวข้องโดยตรงของนายกรัฐมนตรี จึงถือเป็นการสร้างเรื่องและเพิ่มพยานหลักฐานใหม่โดยมิชอบในลักษณะเอาตัวของตนเอง ดำเนินคดีไว้ก่อน แล้วค่อยหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม  อีกทั้งรัฐบาลปัจจุบันยังใช้อำนาจออกคำสั่งทางปกครองให้ตนชดใช้ค่าเสียหายถึง  3 หมื่น 5 พันล้านบาท ตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ 2539 โดยมิชอบ และยังใช้ ม.44 สั่งให้กรมบังคับคดียึดและถอนเงินในบัญชี เป็นการชี้นำให้เข้าใจว่าตนเองได้กระทำความผิด 


น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า โครงการรับจำนำข้าวเป็นประโยชน์ และพิสูจน์ได้ว่า มีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจทุกระดับ เป็นการดำเนินตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐที่ได้แถลงต่อรัฐสภา ซึ่งมีผลผูกพันที่ต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ 2550 ตาม มาตรา 75 มาตรา176 และมาตรา 178 และดำเนินการตามแผนบริหารราชการแผ่นดิน ส่วนข้อกล่าวหาว่า ครม.กำหนดราคารับจำนำข้าวสูงกว่าราคาตลาด และขายในราคาต่ำกว่าราคารับจำนำนั้น  ไม่ใช่การกำหนดนโยบายที่ผิดพลาด แต่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องดูแลประชาชน หากยังมีความยากจน ซึ่งประเทศที่พัฒนาแล้วอย่าง สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ก็มีนโยบายหรือมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย  

น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ไม่ได้เพิกเฉย ละเลย และไม่มีอำนาจระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าวตามอำเภอใจ โดยที่ผ่านมาได้ตั้งคณะกรรมการ กขช.และคณะอนุกรรมการเฉพาะงานแต่ละด้าน 13 คณะ เพื่อบูรณาการการทำงาน ร่วมกำหนดหลักเกณฑ์ มาตรการในการปฏิบัติ รวมถึงมีหน่วยงานหลักที่สำคัญที่มีหน้าที่รับผิดชอบ เช่น สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กระทรวง กรม ซึ่งไม่เคยมีข้อท้วงติง หรือให้ยุติ หรือให้ระงับยับยั้งโครงการ อีกทั้งได้กำหนดแนวทางป้องกันการทุจริตและป้องกันความเสียหายตั้งแต่การประชุม กขช.ครั้งแรก 

“รัฐธรรมนูญกำหนดให้คณะรัฐมนตรีมีความรับผิดชอบร่วมกัน อย่าเข้าใจผิดว่านายกรัฐมนตรีมีอำนาจเต็มคนเดียว และใช้อำนาจอย่างไรก็ได้ จึงต้องเรียนว่า แม้จะเป็นนายกรัฐมนตรีแต่ในทางปฏิบัติ กระทรวงและส่วนราชการ ต้องปฏิบัติงานร่วมกันกับคณะกรรมการ กขช. ซึ่งมีหน้าที่ความรับผิดชอบ ตามที่กฎหมายแต่ฝ่ายกำหนด ซึ่งตนไม่สามารถใช้อำนาจตามอำเภอใจ และไม่อาจกระทำการใดๆ ที่จะไปล้วงลูกสั่งการ หรือชี้นำในระดับปฏิบัติเพื่อประโยชน์ของผู้หนึ่งผู้ใด แม้กระทั่งผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จอย่างนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ก็คงเข้าใจถึงข้อจำกัดนี้ จึงต้องการใช้อำนาจพิเศษ คือ มาตรา44 ในการสั่งการบริหารราชการแผ่นดินที่รัฐบาลซึ่งมาจากการเลือกตั้งไม่สามารถทำได้ ” น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว

น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า การไม่ระงับยับยั้งโครงการ เพราะโครงการมีประโยชน์ไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย และโครงการมีความคุ้มค่าไม่เป็นภาระต่องบประมาณที่เกินสมควรหรือเป็นปัญหาต่อหนี้สาธารณะไม่เสียวินัยการเงินการคลังของประเทศจนต้องระงับหรือยุติโครงการ ซึ่งคณะกรรมการ กขช. ได้รายงานตัวเลขฤดูกาลผลิต 2554/55 และ ฤดูกาลผลิต 2555 รวม 394,788 ล้านบาท  ซึ่งมากกว่าตัวเลข ที่คณะอนุกรรมการปิดบัญชีฯ อ้างว่าขาดทุนทางบัญชี 220,969 ล้านบาท ถึง 173,819 ล้านบาท สอดคล้องกับรายงานของ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการ การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระบุว่าโครงการรับจำนำข้าวสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นให้กับชาวนามีความจำเป็นจนถึงปี 2558 นอกจากนี้ยังพบว่า น.ส.สุภา ปิยะจิตติ พยานโจทก์ผู้ทำหน้าที่จัดทำรายงานปิดบัญชีฯ ยังยอมรับว่า ผลประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจที่ไม่เป็นตัวเงิน และ ผลประโยชน์ที่เป็นทางอ้อมไม่ใช่หน้าที่ของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีแต่เป็นหน้าที่ของสภาพัฒน์ฯ  

ส่วนกรณีที่ ป.ป.ช. และ สตง. มีหนังสือท้วงติงมายังรัฐบาล เกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวนั้น ทั้ง2 หน่วยงาน ไม่มีภารกิจหน้าที่ตามกฎหมายที่จะสั่งให้ฝ่ายบริหารยับยั้งการดำเนินนโยบายสาธารณะที่แถลงต่อรัฐสภา ซึ่งป.ป.ช.และ สตง. ไม่ได้ศึกษาข้อมูล และยังใช้ข้อมูลจากการเสนอข่าว และข้อมูลจาก TDRI โดยไม่มีการตรวจสอบความถูกต้องอีกทั้งยังเสนอให้นำนโยบายประกันราคาข้าวมาดำเนินการซึ่งการนำนโยบายของฝ่ายค้านมาดำเนินการเป็นเรื่องที่ผิดรัฐธรรมนูญ 

อีกทั้งยังนำข้อเสนอของ ป.ป.ช.แจ้งต่อ ครม.และได้ตั้งคณะกรรมการอำนวยการตรวจสอบเพื่อป้องกันการทุจริตในการรับจำนำข้าว และยังตั้งคณะกรรมการติดตามการรับจำนำข้าวและคณะอนุกรรมการติดตามกำกับดูแล การรับจำนำข้าวระดับจังหวัด ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน พร้อมกำชับให้เข้มงวดป้องกันการลักลอบการนำเข้าข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านมาสวมสิทธิ์ และที่ประชุม ครม.ยังได้ปรับลดวงเงินรับจำนำข้าวเพื่อป้องกันความเสียหายในฤดูกาลผลิต 2556 /57 จากไม่จำกัดเป็นจำกัดวงเงินไม่เกินรายละ 500,000 บาท และ 350,000 บาท และลดราคารับจำนำจากตันละ 15,000 บาท เหลือ 13,000บาท ยึดกรอบเงินทุนหมุนเวียนไม่เกิน 500,000 ล้านบาท ดังนั้นจึงแสดงให้เห็นว่าตนใช้อำนาจอย่างระมัดระวัง ในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 หรือความผิดตาม พ.ร.บ. ป.ป.ช.

น.ส.ยิ่งลักษณ์  กล่าวว่า ไม่ได้ปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตในการระบายข้าว เพราะการระบายข้าว เป็นงานในระดับปฏิบัติที่มีคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวเป็นผู้รับผิดชอบเป็นการเฉพาะ ซึ่งนายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. ผู้รับผิดชอบสำนวน ยืนยันว่า ตนไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องการทุจริต หรือสมยอมให้ทุจริตในการระบายข้าวแบบจีทูจี และเมื่อมีการตรวจสอบของ ป.ป.ช. เกี่ยวกับการระบายข้าว  จึงได้ทำการปรับเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เพื่อประโยชน์ต่อการตรวจสอบ แสดงให้เห็นว่าไม่มีเจตนาในการปกปิดข้อมูล 

“นโยบายจำนำข้าวเป็นนโยบายสาธารณะที่มุ่งช่วยเหลือชาวนา ไม่ใช่พาณิชย์นโยบายที่คิดกำไรขาดทุนกับชาวนาผู้ยากไร้ ซึ่งตามระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ตนมีบทบาทในฐานะผู้กำกับนโยบายไม่ใช่ผู้ปฏิบัติ หากมีการกระทำที่ผิดขั้นตอนใดย่อมเป็นความรับผิด ของบุคคลนั้นนั้น โดยไม่เคยมีบุคคลระดับนายกรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบร่วมกับปฏิบัติ  รวมถึงยังต้องรับผิดทางแพ่ง 35,000 ล้านบาท ตามข้อสั่งการของหัวหน้า คสช. ว่าไม่ต้องพิจารณาประเด็นยุติธรรม ในฐานะนายกรัฐมนตรีได้ปฎิบัติหน้าที่โดยชอบตามขอบเขตแห่งอำนาจที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ไม่เคยปล่อยปละละเลยสิ่งใดที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติและประชาชนและได้ปฎิบัติหน้าที่โดยสุจริต ไม่เคยสมยอมให้บุคคลใดทุจริต ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ “น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว

น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวในช่วงท้ายของการแถลงปิดคดีด้วยวาจาพร้อมน้ำเสียงที่สั่นเครือและร่ำไห้ช่วงหนึ่ง ว่า “ดิฉันไม่ได้ทำอะไรผิด แต่สิ่งที่ดิฉันทำ คือ การใช้ประสบการณ์ของผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ที่เกิดในต่างจังหวัด มีโอกาสได้รับรู้ สัมผัสความทุกข์ยากแสนสาหัสของชาวไร่ชาวนา ซึ่งประเทศนี้เคยเรียกพวกเขาว่า เป็นกระดูกสันหลังของชาติ และเรียกร้องให้คนไทยทุกคน เกื้อหนุนดูแล และดิฉันก็ได้ทำแล้วในโครงการรับจำนำข้าว เป็นผลพิสูจน์อย่างเป็นรูปธรรมแล้วว่า ในช่วงที่มีโครงการรับจำนำข้าว ชาวนามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ลูกหลานมีโอกาสเรียนต่อ นับเป็นความภูมิใจในชีวิต ที่ครั้งหนึ่ง ดิฉันได้มีโอกาสผลักดันนโยบายนี้ ให้กับชาวนา แม้การผลักดันนโยบายสาธารณะ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีให้กับชาวนาครั้งนี้จะทำให้ดิฉันต้องเจ็บปวดก็ตาม ในการที่จะต้องอดทนต่อสู้คดีกับฝ่ายโจทก์ ที่พยายามบิดเบือน และกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม ดิฉันก็จะอดทนมุ่งมั่นต่อไป เพื่อหวังว่ารัฐบาลต่อไปในอนาคต จะสามารถนำนโยบายสาธารณะมาสู่ประชาชนพี่น้องเราจะได้ปลดหนี้สิน จะได้มีโอกาสลืมตาอ้าปาก มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกับเขาบ้าง

สุดท้ายนี้ ดิฉันเห็นว่าก่อนที่ศาลจะตัดสินคดีนี้ ดิฉันใคร่ขอวิงวอนศาลได้โปรดพิจารณา พิพากษาคดีนี้ตามข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายและพยานหลักฐานที่เข้าสู่สำนวนโดยชอบและโดยสุจริต ไม่รับฟังการชี้นำจากฝ่ายใด ๆ แม้แต่หัวหน้า คสช. ผู้กุมชะตาและอำนาจรัฐ ที่พูดชี้นำคนในสังคมเกี่ยวกับคดีของดิฉัน เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคมที่ผ่านมา ว่า ถ้าเรื่องนี้ไม่ผิดแล้ว จะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาได้อย่างไร ซึ่งคำพูดนี้ เป็นการชี้นำ เสมือนหนึ่งว่า มีการกระทำความผิดแล้ว ทั้ง ๆ ที่ศาลที่เคารพ ยังไม่ได้ตัดสิน ดิฉันเชื่อในคำกล่าวที่ว่า “ศาลเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน” ดิฉันจึงขอความเมตตาต่อศาล ได้โปรดพิจารณาพิพากษายกฟ้องโจทก์ด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ “น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังเสร็จสิ้นการแถลงปิดคดีด้วยว่าจาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้แจ้งยกคำร้อง ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความชอบ-ไม่ชอบ กฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่า ก็เป็นตามสิทธิของจำเลยตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 212 เป็นครั้งที่ 2   โดยชี้แจ้ง ว่า แม้หน้าที่การวินิจฉัยจะเป็นของศาลรัฐธรรมนูญแต่การพิจารณาส่งคำโต้แย้งเป็นหน้าที่หรืออำนาจของศาลยุติธรรม และไม่จำเป็นว่าทุกคำร้องศาลจะต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเสมอไป  ดังนั้นการที่ศาลไม่ส่งคำโต้แย้งจึงไม่ถือว่าผิดระเบียบการ วิธีการพิจารณาของศาล จึงยกคำร้อง และนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 25 ส.ค.นี้ เวลา 09.00 น. .-สำนักข่าวไทย     

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ค้นบ้านสามารถ

ดีเอสไอเข้าค้นบ้าน “สามารถ” คดีฟอกเงินดิไอคอน

ดีเอสไอเข้าค้นบ้าน “สามารถ เจนชัยจิตรวนิช” คดีฟอกเงินดิไอคอน หลังพบเงิน “บอสดิไอคอน” โอนเข้าบัญชีแม่ของนายสามารถ

หมอบุญ

THG แจงบริษัทไม่เกี่ยวข้องคดีต่างๆ ที่เกิดจาก “หมอบุญ”

THG แจงตลาดหลักทรัพย์ฯ ปัจจุบัน “หมอบุญ” ไม่ได้ดำรงตำแหน่งกรรมการและผู้บริหารใน THG คดีฉ้อโกงใดๆ ที่เกิดขึ้น บริษัทไม่เกี่ยวข้อง

คะแนนไม่เป็นทางการ เลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ

ลุ้นผลคะแนนเลือกตั้งนายก อบจ.นครศรีธรรมราช นับเสร็จแล้วบางหน่วย ล่าสุด ณ เวลา 19.40 น. “วาริน ชิณวงศ์” เบอร์ 2 จากทีมนครเข้มแข็ง ชนะคู่แข่งขาดลอยในหลายหน่วย คะแนนทิ้งห่างแชมป์เก่า “กนกพร เดชเดโช” เบอร์ 1 จากพรรค ปชป.

“ทนายสายหยุด” จ่อถอนตัวคดีตั้ม หวั่นติดร่างแห

“ทนายสายหยุด” เตรียมถอนตัวเป็นทนายให้ “ตั้ม” เผยในมือมีแต่พยานเท็จ ปิดบังข้อเท็จจริง เสี่ยงเป็นผู้ร่วมกระทำผิด

ข่าวแนะนำ

วิเคราะห์การเมืองสนามใหญ่ หลังศึกเลือกตั้งนายก อบจ.

วิเคราะห์ผลการเลือกตั้งนายก อบจ. 4 สนามใหญ่ โดยเฉพาะอุดรธานี ที่สะท้อนถึงความนิยมในตัวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

“บิ๊กเต่า” ลั่นเตรียมมอบกุญแจมือเป็นของขวัญปีใหม่ให้คนดัง ส่งนอนห้องขัง

“บิ๊กเต่า” ลั่นเตรียมมอบ “กุญแจมือ” เป็นของขวัญปีใหม่ให้อินฟลูฯ นักร้อง คนดัง ส่งนอนห้องขังวีไอพี เผยปม “ฟิล์ม รัฐภูมิ” คาดมีความชัดเจนภายในสัปดาห์นี้

หมอบุญ

THG แจงบริษัทไม่เกี่ยวข้องคดีต่างๆ ที่เกิดจาก “หมอบุญ”

THG แจงตลาดหลักทรัพย์ฯ ปัจจุบัน “หมอบุญ” ไม่ได้ดำรงตำแหน่งกรรมการและผู้บริหารใน THG คดีฉ้อโกงใดๆ ที่เกิดขึ้น บริษัทไม่เกี่ยวข้อง