เมืองทองธานี 8 ธ.ค. – นายกฯ มอบนโยบาย แก้หนี้นอกระบบให้นายอำเภอ-ผู้กำกับทั่วประเทศ บอก ต้องได้รับการจัดการขั้นเด็ดขาด กำหนดกรอบเวลาตัวชี้วัดที่ชัดเจน ให้การค้าทาสยุคใหม่หมดจากประเทศ
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายและแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ปลัด และนายอำเภอ ผู้อำนวยการเขต ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดทุกจังหวัด และตำรวจนครบาล รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย สำนักงานอัยการสูงสุด กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ธนาคารแห่งประเทศไทยและผู้บริหารธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์
โดยนายกรัฐมนตรี ได้เยี่ยมชม นิทรรศการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ โดยมีนายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และพลตำรวจเอกธนา ชูวงษ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติให้การต้อนรับ
นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณทุกฝ่ายที่ร่วมกันขับเคลื่อนการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบอย่างจริงจัง ทั้งกระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
“วันนี้ไม่ได้เชิญทุกท่านมากระชับอำนาจให้ผมนะครับ ผมมาขอแรงจากทุกท่านทำประโยชน์ให้พี่น้องประชาชน มาช่วยกันทำให้การค้าทาสในยุคใหม่หมดไปจากประเทศไทยด้วยกัน พี่น้องเพื่อนร่วมชาติเราจำนวนมาก มีความทุกข์ ถูกพรากอิสรภาพในการใช้ชีวิต เพราะมีหนี้สินจองจำพวกเขาอยู่ พวกท่านในฐานะข้าราชการฝ่ายปกครองที่ทำหน้าที่บำบัดทุกข์บำรุงสุข และเจ้าหน้าที่ตำรวจในฐานะผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ผมเชื่อมั่นว่าสามารถช่วยพี่น้องประชาชน ให้มีอิสรภาพ ต่อชีวิต สร้างขวัญและกำลังใจให้กับพวกเขาได้ และในฐานะนายกรัฐมนตรี จำเป็นต้องขอพึ่งพาความรู้ความสามารถของทุกคน ช่วยให้พี่น้องประชาชนของเราเป็นอิสระ หลุดพ้นพันธนาการจากหนี้นอกระบบนี้ “นายเศรษฐา กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า รัฐบาลได้กำหนดให้การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบเป็นวาระแห่งชาติ ที่ทุกคนจะต้องร่วมแรงร่วมใจกัน แก้ไขปัญหานี้ให้กับประชาชน ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินที่สูงอย่างไม่เป็นธรรม การทวงถามหนี้ที่มีลักษณะคุกคาม ขู่เข็ญหรือใช้กำลังประทุษร้าย ส่งผลต่อการใช้ชีวิตและความสงบเรียบร้อยของสังคม โดยให้กระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บูรณาการขับเคลื่อน และประสานงานร่วมกัน เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเรื่องนี้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
“อยากให้ทุกคนได้รับรู้และทำความเข้าใจที่ตรงกันว่า การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบนั้น เป็นวาระสำคัญของชาติจริงๆ นี่ไม่ใช่การแก้ไขปัญหาเพื่อภาพลักษณ์ของรัฐบาล ของตนหรือของหน่วยงานท่าน แต่นี่คือการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชน ให้สามารถฟื้นกลับมาใช้ชีวิตโดยไม่ต้องหวาดระแวง และมีรอยยิ้มได้โดยทั่วกัน” นายเศรษฐา กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับกระบวนการเกี่ยวกับการร้องเรียน การลงทะเบียนที่เป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการทั้งหมด ได้บูรณาการช่องทางให้หลากหลาย ช่องทางแรกคือกระทรวงมหาดไทยได้เปิดให้มีการลงทะเบียนลูกหนี้นอกระบบผ่านศูนย์ดำรงธรรม ทั้งในระดับจังหวัดและระดับอำเภอ รวมถึงเบอร์ติดต่อ 1567 ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม ที่ผ่านมา ขณะนี้มีลูกหนี้ที่มาลงทะเบียนแล้วกว่า 71,000 คน รวมยอดมูลหนี้นอกระบบกว่า 3,500 ล้านบาท
นอกจากนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็มีศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ สายด่วน 1599 ในส่วนของสำนักนายกรัฐมนตรี มีศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ สายด่วน 1111 ที่ประชาชนทั่วประเทศสามารถร้องเรียนความเดือดร้อนปัญหาหนี้นอกระบบได้ โดยหลังรับเรื่องร้องเรียนแล้ว จะประสานเชื่อมโยงฐานข้อมูลจากทุกช่องทางเข้ามาด้วยกัน เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน สำหรับประชาชนที่ลงทะเบียนจะได้รับเลข Reference Number เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง สามารถติดตามความคืบหน้าที่ได้ร้องเรียนไว้บนเว็บไซต์ของภาครัฐได้ตลอดเวลา โดยหลังจากเรื่องร้องเรียนเข้ามาในระบบแล้ว ส่วนกลางจะวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อจัดประเภทเรื่องที่ร้องเรียน ก่อนส่งไปให้ในแต่ละพื้นที่ดำเนินการต่อ
นายกรัฐมนตรี ยังย้ำว่า หากองค์ประกอบความผิดครบเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด ไม่ได้มีการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่แต่อย่างใด
“เชื่อว่าในหลายๆ ครั้ง เจ้าหนี้และลูกหนี้ก็ยังพร้อมที่จะประนีประนอมกันได้ ขอให้เชิญเข้ามาไกล่เกลี่ย ร่วมกันหาทางออกอย่างสันติวิธี และถูกต้องตามกฎหมาย จัดทำเป็นสัญญาประนีประนอมต่อกัน ตามแบบฟอร์มที่ทางกระทรวงมหาดไทยได้จัดเตรียมไว้ และกำหนดอัตราดอกเบี้ย ระยะเวลา และงวดผ่อนชำระหนี้ ที่เหมาะสมกับศักยภาพการชำระหนี้ของลูกหนี้แต่ละราย ซึ่งตนเชื่อว่าจะเป็นทางออกที่ดีทั้งกับเจ้าหนี้และลูกหนี้” นายเศรษฐา กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลจะติดตามผล หากยังพบปัญหาไม่สามารถดำเนินการตามสัญญาฉบับใหม่ได้ ก็จะเชิญเจ้าหนี้และลูกหนี้เข้ามาร่วมกันแก้ไขข้อตกลงให้เหมาะสมกันอีกครั้ง หากพบว่ายังมีการข่มขู่ หรือ เจ้าหนี้ไม่ยอมปฏิบัติตามสัญญาไกล่เกลี่ย จนเป็นเหตุให้ลูกหนี้เดือดร้อน ก็ต้องร่วมกันบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดต่อไป
“ยืนยันว่ากระบวนการทั้งหมดนี้ ไม่ได้เป็นการตัดสิทธิลูกหนี้ หรือเจ้าหนี้ ในการใช้สิทธิอื่นๆ ตามกฎหมาย หรือกระบวนการยุติธรรมอื่นๆ แต่ขอย้ำว่านี่เป็นกระบวนการที่เจ้าหนี้ และลูกหนี้ ร่วมกันสมัครใจเข้ามาเพื่อหาทางออกร่วมกัน โดยรัฐยินดีที่จะให้ความช่วยเหลือ ทั้งในชั้นการไกล่เกลี่ย การให้คำแนะนำ และการให้ความช่วยเหลือจากสถาบันการเงินของรัฐ” นายเศรษฐา กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กระทรวงการคลัง และสถาบันการเงินของรัฐ จะเข้ามามีส่วนร่วมให้ความช่วยเหลือแก่ลูกหนี้ ขอให้ทั้งเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงาน ร่วมกันศึกษาในรายละเอียด ให้เข้าใจถึงความรับผิดชอบของทุกภาคส่วน เพื่อให้การทำงานไม่ซ้ำซ้อน ร่วมกันใช้อำนาจอย่างถูกต้องตามกฏหมาย ทำให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ในขณะที่ทุกคนก็สามารถปฏิบัติราชการได้อย่างสบายใจ
“ในส่วนที่ตนอยากจะลงรายละเอียดให้มากขึ้น คือขั้นตอนที่ตนเข้าใจว่าในทางปฏิบัติมีความท้าทายเป็นอย่างยิ่ง ได้แก่ การไกล่เกลี่ยประนีประนอมข้อพิพาท ซึ่งเป็นทั้งศาสตร์ ที่เกี่ยวข้องกับการคำนวณ การคิดดอกเบี้ยหนี้สิน และเป็นทั้งศิลป์ ที่เกี่ยวข้องกับการเจรจาระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ อาจใช้ไม้อ่อนในการเชิญชวนเพื่อให้สมัครใจเข้ามาสู่กระบวนการ และในหลายๆครั้ง ท่านอาจจะต้องเป็นผู้ใช้อำนาจตามกฏหมายในการบังคับ ซึ่งเป็นไม้แข็งในการนำเจ้าหนี้หรือลูกหนี้เข้าสู่ระบบ” นายเศรษฐา กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอให้ทุกคน ไม่ยอมแพ้ ไม่ท้อถอย ไม่หยุดช่วยเหลือประชาชน โดยเฉพาะในกรณีที่พวกเค้าไม่ยอมสมัครใจเข้าสู่กระบวนการ ต้องนำความรู้ด้านการทำสัญญาประนีประนอม ที่ต้องระบุรายละเอียดเจ้าหนี้และลูกหนี้ให้ชัดเจน และตนขอประกาศเป้าหมายว่าหนี้นอกระบบจะต้องได้รับการจัดการโดยเด็ดขาด ทั้งฝ่ายปกครองและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะต้องมีการกำหนดตัวชี้วัด (KPI) ที่เหมาะสม และกรอบเวลาที่ชัดเจน ซึ่งขอหลักการกว้างๆ คือต้องไม่ตั้งเป้าหมายที่ง่ายเกินไป จนไม่สามารถวัดผลอะไรได้ และไม่ยากเกินไปจนเป็นเหตุให้ผู้ปฏิบัติงานรู้สึกไม่อยากเริ่มทำ กรอบข้างต้นเป็นกรอบกว้างๆ ที่ผู้บริหารจะต้องช่วยกันนำไปย่อยเป็นเป้าเล็กๆ ให้เป็นความสำเร็จ.-313.-สำนักข่าวไทย