กรุงเทพฯ 6 ก.ค. – กบง.เห็นชอบลอยตัวราคาก๊าซแอลพีจี เริ่ม 1 ส.ค. ลอยตัวทั้งระบบตั้งแต่ค้าส่ง-ค้าปลีก โรงกลั่นฯ-โรงแยกก๊าซฯ ไม่ต้องชดเชยราคา ย้ำดูแลผู้บริโภคด้วยการประกาศแนะนำรายเดือนส่งต่อกรมการค้าภายใน และหากราคาขยับขึ้นจนขั้นวิกฤติ กองทุนแอลพีจีจะเข้าดูแล
พลเอกณัฐพล กนกโชติ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน หรือ กบง.วานนี้ (5 ก.ค.) มีมติคงราคาขายปลีกแอลพีจีเดือนกรกฎาคม 20.49 บาท/กก. พิจารณาโครงสร้างราคาก๊าซแอลพีจีเดือนกรกฎาคม 2560 โดยจากสถานการณ์ราคาก๊าซแอลพีจี ตลาดโลก (CP) เดือนกรกฎาคม 2560 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน 32.50 เหรียญสหรัฐ/ตัน มาอยู่ที่ระดับ อยู่ที่ 355.00 เหรียญสหรัฐ/ตันก็ตาม แต่ยังต้องมีการชดเชยจากกองทุนน้ำมันบัญชีแอลพีจี โดยปรับลดอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ ลง 1.4262 บาท/กก. จากเดิมกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยที่ 1.5469 บาท/กก. เป็นชดเชย 0.1207 บาท/กก. ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 6 กรกฎาคม 2560 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ กบง.ยังเห็นชอบการลอยตัวราคาแอลพีจีเป็นครั้งแรกของประเทศวันที่ 1 สิงหาคม 2560 โดยเตรียมเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ( กพช.) เรื่องเปิดคลังเขาบ่อยาของ บมจ.ปตท.ให้เอกชนเข้ามาใช้ โดยแม้จะลอยตัวราคาแต่กลไกกองทุนน้ำมันบัญชีแอลพีจีที่ปัจจุบันยังมีที่ประมาณที่ 6,448 ล้านบาท จะยังช่วยดูแลไม่ให้ประชาชนได้รับผลกระทบหากราคาแพงมากกรณีเกิดวิกฤติจนกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ
นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กบง.มีมติให้ยกเลิกการกำหนดแอลพีจีหน้าโรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมันและโรงอะโรเมติก ยกเลิกการกำหนดราคา ณ โรงกลั่นที่อ้างอิงราคานำเข้า (Import Parity) ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นก๊าซแอลพีจี พร้อมยกเลิกการกำหนดอัตราเงินส่งเข้าหรือชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากทุกส่วนของการผลิต ยกเลิกการประกาศราคาขายส่ง ณ คลังก๊าซ เพื่อให้ตลาดก๊าซแอลพีจีมีการแข่งขันอย่างสมบูรณ์ แต่ยังคงให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ติดตามและประกาศเฉพาะราคาอ้างอิง เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการกำกับดูแลราคาขายปลีกก๊าซแอลพีจีในประเทศ รวมทั้งให้ สนพ.มีกลไกการติดตามสถานการณ์ราคานำเข้าก๊าซแอลพีจี และต้นทุนโรงแยกก๊าซอย่างใกล้ชิดเป็นรายเดือน ซึ่งหากราคาแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
นายทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการ สนพ.และในฐานะโฆษกกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า จากนี้ไป กบง.จะทำหน้าเพียงการประชุม เพื่อรับทราบราคาอ้างอิงราคาขายปลีกแอลพีจี ทุกเดือน แล้วรายงานต่อกรมการค้าภายใน เพื่อประกาศราคาแนะนำก๊าซแอลพีจีเพื่อการบริโภค ขณะที่ก๊าซสำหรับยานยนต์ซึ่งเป็นราคาเสรีนั้น ปัจจุบันค่าการตลาดอยู่ที่ 3.20 บาท/กก. สนพ.จะมีการศึกษาราคาใหม่ว่าอัตราที่เหมาะสมเป็นอัตราใด และพื่อส่งเสริมให้มีการจำหน่ายก๊าซแอลพีจี ภายในประเทศเป็นหลัก ดังนั้น ปริมาณก๊าซแอลพีจีที่ผลิตได้จากโรงแยกก๊าซจะต้องให้ความสำคัญกับการจำหน่าย เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงก่อนเป็นลำดับแรก มิใช่เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี และสำหรับการส่งออกก๊าซแอลพีจีจะต้องขออนุญาตจากกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) โดยจะมีการเก็บเงินส่งเข้ากองทุนฯ ในอัตราคงที่ (Fixed Rate) ที่ 20 เหรียญสหรัฐ/ตัน ทั้งผู้ผลิต และผู้นำเข้าที่ขอนำเข้าเพื่อขายในประเทศยกเว้นกรณีที่ก๊าซแอลพีจีนำเข้า เพื่อเป็นการส่งออก (Re-export) ไม่ต้องจ่ายเงินส่วนนี้
“การลอยตัวครั้งนี้น่าจะเป็นจังหวะดีสุด เพราะราคาแอลพีจีตลาดโลกอยู่ในช่วงขาลง ซึ่งราคา CP ซาอุดิอาระเบียที่อ้างอิงเป็นรายเดือนนั้น จะมีทิศทางลดลงไปจนถึงกันยายนและแนวโน้มตลาดโลกเองเชื่อว่าจะมีการแข่งขันมาก เพราะจะมีส่วนเกินจากการผลิตและจะเป็นผลดีต่อผู้บริโภค” นายทวารัฐ กล่าว
ที่ประชุม กบง.ยังมีมติให้เตรียมนำเสนอ กพช. เพื่อพิจารณาให้ ปตท.ดำเนินธุรกิจโครงการ LPG Integrated Facility Enhancement (โครงการ LIFE) ในเชิงพาณิชย์ โดยให้ผู้ค้าก๊าซแอลพีจีรายอื่นสามารถเข้าใช้บริการคลังก๊าซ LIFE ที่เขาบ่อยา จังหวัดชลบุรี ของ ปตท. ได้อย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม จนกว่าผู้ค้าก๊าซแอลพีจีรายอื่นจะสามารถสร้างหรือขยายคลังก๊าซแอลพีจีนำเข้าแล้วเสร็จ ทั้งนี้ ให้ ปตท. เปิดเผยข้อกำหนด/กติกาการใช้คลังก๊าซฯ ดังกล่าวให้สาธารณชนรับทราบด้วย
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท. กล่าวว่า ปตท.พร้อมดำเนินการตามนโยบายเปิดเสรีแอลพีจีทั้งระบบ และพร้อมให้ผู้ค้ารายอื่นเจรจาเช่าคลังแอลพีจีของ ปตท.ในราคาที่เหมาะสมและเป็นธรรม
นายสุกฤตย์ สุรบถโสภณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) และในฐานะประธานกลุ่มโรงกลั่นน้ำมัน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การเปิดเสรีแอลพีจีทั้งระบบจะเป็นประโยชน์ต่อโรงกลั่นที่ไม่ต้องจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างราคานำเข้า เพื่อส่งเข้ากองทุนฯ เหมือนในอดีต ซึ่งจะทำให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรมทั้งผู้ผลิตในประเทศและผู้นำเข้า ท้ายที่สุดก็จะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค .-สำนักข่าวไทย