กรุงเทพฯ 22 ก.ค. – กรุงไทย ผลประกอบการแข็งแกร่ง กำไรสุทธิ 6 เดือนแรก 20,223 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% เฉพาะไตรมาส 2 มีกำไรสุทธิ 10,156 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% ผลจากรายได้จากการดำเนินงานปรับเพิ่มขึ้น ช่วยเหลือประคับประคองลูกค้าแก้ปัญหาหนี้อย่างยั่งยืน
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยปี 2566 มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยมีแรงสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวเป็นสำคัญ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 เติบโตดีกว่าที่คาด ทำให้ทั้งปี 2566 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมีโอกาสแตะระดับ 29-30 ล้านคน ทยอยขยายวงพื้นที่การกระจายตัว สนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาเป็นปกติมากขึ้น ส่งผลดีต่อการจ้างงาน รายได้ครัวเรือน และอุปสงค์ภายในประเทศ ให้สามารถประคับประคองการฟื้นตัวได้ในระยะข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้ายังเผชิญความท้าทายจากการเปลี่ยนผ่านเชิงนโยบายเพื่อกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ทั้งการทยอยลดบทบาทมาตรการภาครัฐ และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้สอดคล้องกับแนวโน้มและความเสี่ยงในระยะข้างหน้า ในขณะที่ภาคธุรกิจยังต้องเผชิญแรงกดดันจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกกดดันภาคการส่งออกและภาคการท่องเที่ยว รวมถึงภาวะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ธนาคารกรุงไทย จึงให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง และบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างใกล้ชิด เพื่อรักษาระดับของ Coverage Ratio ในระดับสูง รองรับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
สำหรับผลการดำเนินงานในงวด 6 เดือนแรกของปี 2566 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร เท่ากับ 20,223 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.0 จากการเติบโตในกลุ่มสินเชื่อที่เป็นไปตามยุทธศาสตร์ของธนาคาร ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนโดยรวมปรับตัวดีขึ้น รวมถึงการขยายตัวของรายได้จากการดำเนินงานอื่นๆ ธนาคารให้ความสำคัญการกับการขยายการลงทุนเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่ออนาคต เพื่อรองรับการให้บริการแก่ลูกค้า ประกอบกับการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในองค์รวมอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ Cost to Income ratio เท่ากับร้อยละ 39.0 ลดลงจากร้อยละ 41.9 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่ผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส 2 ปี 2566 มีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร เท่ากับ 10,156 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.5
ทั้งนี้ ธนาคารและบริษัทย่อยตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น เพิ่มขึ้นร้อยละ 36.8 โดยพิจารณาถึงการดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน และยังคงรักษา Coverage ratio ในระดับสูงที่ร้อยละ 177.4 พร้อมทั้งบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างระมัดระวัง โดยมีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม (NPLs Ratio) ร้อยละ 3.11 .-สำนักข่าวไทย