กรุงเทพฯ 17 ก.ค. – โรงพยาบาลสงฆ์เพิ่มทักษะให้ “พระคิลานุปัฏฐาก” หรือพระอาสาสมัครส่งเสริมสุขภาพประจำวัด (อสว.) ให้มีความรู้ความสามารถมีทักษะในการประเมินความเจ็บไข้ และสามารถใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์เบื้องต้นได้ มีพระสงฆ์สามเณร เข้าร่วมโครงการ จำนวน 200 รูป
โรงพยาบาลสงฆ์มีบทบาทหน้าที่ในการบำบัดรักษา ส่งเสริม ฟื้นฟูสุขภาพของพระภิกษุสามเณรอาพาธและตระหนักถึงความสำคัญในการอุปัฏฐากภิกษุไข้เป็นการเฉพาะ เนื่องจากเมื่อเจ็บป่วยก็ไม่มีผู้ดูแลเหมือนกับฆราวาสทั่วไปและเพื่อเอื้อเฟื้อต่อพระธรรมวินัย จึงได้จัดให้มีการอบรมถวายความรู้การดูแลสุขภาพเบื้องต้น เพื่อส่งเสริมให้ท่านมีทักษะ มีความสามารถดูแลสุขภาพตนเองและภิกษุร่วมวัดที่เป็นอุปัชฌาจารย์หรือศิษย์ผู้ร่วมสำนักได้ พร้อมทั้งส่งเสริมให้มีบทบาทในการเป็นผู้นำด้านสุขภาวะของชุมชนและสังคม ซึ่งเดิมพระสงฆ์เองก็มีบทบาทการเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของชุมชนสอนกุลบุตรธิดาอยู่แล้ว ส่วน “พระคิลานุปัฏฐาก” หรือพระอาสาสมัครส่งเสริมสุขภาพประจำวัด (อสว.) ก็จะมีหน้าที่เพิ่มเติมคือการให้ความช่วยเหลืออุปัฏฐากภิกษุไข้ภายในวัด เช่น การวัดไข้ วัดความดัน วัดออกซิเจนในกระแสเลือด ช่วยสรงน้ำ เช็ดตัว ป้อนยาป้อนอาหาร รวมถึงเป็นผู้คอยประสานงานระหว่างภิกษุไข้กับสถานพยาบาลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
นพ.ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า พระสงฆ์เป็นผู้มีความสำคัญในการสืบทอดพระธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาและเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของชุมชน เป็นผู้นำและอบรมสั่งสอนการพัฒนาการเรียนรู้ในด้านคุณธรรม จริยธรรม รวมถึงการเข้าสู่หนทางธรรมแห่งการบรรลุมรรคผลนิพาน อีกทั้งยังเป็นผู้นำทางด้านสุขภาวะสังคม ในทางกลับกันเมื่อพระสงฆ์มีปัญหาทางด้านสุขภาพ โดยเฉพาะเจ็บป่วยเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง อาจจะต้องเข้ารับการรักษาและฉันยาตลอดชีวิต รวมถึงการต้องเป็นผู้ป่วยติดเตียง ซึ่งเป็นโรคที่ไม่ได้เกิดกับประชาชนทั่วไปเท่านั้น แต่ยังเกิดกับภิกษุอาพาธอีกมากมาย จากข้อมูลการสำรวจสุขภาพพระสงฆ์ของโรงพยาบาลสงฆ์ ในปี 2565 พบว่าพระสงฆ์ที่อาพาธด้วยโรคความดันโลหิตสูงร้อยละ 45.23 โรคเบาหวาน ร้อยละ 44.23 โรคไขมันในเลือดสูง ร้อยละ 42.25 และโรคไตวายเรื้อรัง ร้อยละ 29.81 ฯลฯ เนื่องจากวัตรปฏิบัติของท่านมีข้อจำกัดทางด้านการออกกำลังกาย ทางด้านอาหารขบฉัน ที่ไม่สามารถเลือกฉันได้ รับแต่อาหารที่ได้รับจากการบิณฑบาตเป็นหลัก จึงเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคต่างๆ และอีกส่วนหนึ่งคือการเข้ารับบริการด้านสุขภาพที่แตกต่างจากประชาชนทั่วไป เริ่มตั้งแต่การเดินทาง การนำส่ง การติดต่อกับหน่วยบริการด้านสุขภาพ ตลอดจนขั้นตอนการเข้ารับบริการทางการแพทย์ที่ต้องปะปนกับประชาชนทั่วไป ซึ่งไม่สอดคล้องกับสมณะเพศที่ต้องรักษาศีลข้อวัตรปฏิบัติต่าง ๆ ทางพระธรรมวินัย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พระสงฆ์ส่วนใหญ่ปฏิเสธการเข้ารับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลอยู่เนืองๆ จึงเป็นสาเหตุสำคัญให้ต้องมีพระผู้ทำหน้าที่ดูแลอุปัฏฐากภิกษุอาพาธดังกล่าว
ด้านนายแพทย์อภิชัย สิรกุลจิรา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงฆ์ กล่าวว่า โรงพยาบาลสงฆ์ให้ความสำคัญในการดูแลภิกษุไข้ให้เหมาะสมตามพระธรรมวินัย จึงได้จัดโครงการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพพระคิลานุปัฏฐาก หลักสูตรพระคิลานุปัฏฐาก (พระอาสาสมัครส่งเสริมสุขภาพประจำวัด – อสว.) เพื่อให้มีความรู้ความสามารถมีทักษะในการประเมินความเจ็บไข้ และสามารถใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์เบื้องต้นได้ เช่น การวัดไข้ วัดความดันโลหิต การจับชีพจร การช่วยฟื้นคืนชีพ และเจาะเลือดปลายนิ้วเพื่อตรวจหาค่าน้ำตาล โดยมีพระสงฆ์สามเณร เข้าร่วมโครงการดังกล่าว จำนวน 200 รูป ซึ่งมีรายละเอียดหัวข้อการบรรยายที่น่าสนใจ อาทิ พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ด้วยกระบวนการสร้างความรอบรู้สุขภาพสำหรับพระสงฆ์ เบาหวานระยะสงบ ยาในชุดสังฆทานปลอดภัยจริงหรือไม่ และรู้ได้อย่างไรว่าเราซึมเศร้า พร้อมฝึกปฏิบัติตามฐานการเรียนรู้การวัดสัญญาณชีพต่าง ๆ เพื่อสร้างและพัฒนาพระคิลานุปัฏฐากให้มีความรู้ ความเข้าใจการดูแลสุขภาพพระสงฆ์ภายในวัดและชุมชนได้ ดังพุทธพจน์ที่ว่า “โย ภิกฺขเว มํ อุปฏฐเหยย โส คิลานํ อุปฏฐเหยย” แปลว่า “ผู้ใดปรารถนาจะอุปัฏฐากเราตถาคต ผู้นั้นพึงอุปัฏฐากภิกษุไข้เถิด”. -สำนักข่าไวทย