กรุงเทพฯ 30 ม.ค.- นายกสมาคมประกันชีวิตไทย ยอมรับดอกเบี้ยขาขึ้น-ขาลงกระทบธุรกิจประกันชีวิต ชี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นความท้าทายต้องบริหารจัดการให้สมดุล เผยธุรกิจประกันยังโตต่อเนื่อง
จากกรณีคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเอกฉันท์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% จากเดิม1.25% เป็น 1.50% ต่อปี เป็นการปรับขึ้นครั้งแรกของปี ถือเป็นการปรับขึ้นครั้งที่ 4 ติดต่อกันนั้น
นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTL ในฐานะนายกสมาคมประกันชีวิตไทย ยอมรับว่าการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. ต่อเนื่องกัน ส่งผลต่อธุรกิจประกันชีวิต เนื่องจากจะนำเบี้ยประกันส่วนหนึ่งไปลงทุนในตราสารหนี้ ตราสารทุน และสินทรัพย์อื่น ๆ เพื่อสร้างผลตอบแทน ซึ่งจะอ้างอิงตามอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น และลดลง เมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น เงินที่บริษัทประกันนำไปลงทุนใหม่ ก็จะได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น ในทางกลับกัน เงินที่นำไปลงทุนก่อนหน้าการปรับขึ้นดอกเบี้ย ก็จะได้ผลตอบแทนลดลง จึงต้องมีการบริหารจัดการเพื่อให้เกิดความสมดุลมากที่สุด อย่างไรก็ตามดอกเบี้ยขาขึ้น-ขาลง เป็นวงจรที่เกิดขึ้นคู่กับธุรกิจประกันชีวิตมายาวนาน ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่นับเป็นความท้าทายที่ต้องบริหารจัดการให้ดี ทั้งนี้เชื่อว่า ธุรกิจประกันชีวิตยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก ซึ่งปัจจุบันมีการเติบโตอยู่ในอันดับ 2 ของอาเซียน
สำหรับผลประกอบการของบริษัทเมืองไทยประกันชีวิต ปี 2565 แม้เศรษฐกิจค่อยๆฟื้นตัวหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ต่อเนื่องมาหลายปี และพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป แต่ยังธุรกิจยังเติบโตตามเป้าที่ตั้งไว้ อัตราการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรับใหม่ที่ 10% และเบี้ยประกันสุขภาพและโรคร้ายแรงที่ 7% เนื่องจากคนให้ความสำคัญกับการทำประกันมากขึ้น มีผลการดำเนินงานธุรกิจในภูมิภาค CLMV ที่โดดเด่นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ด้านความแข็งแกร่งและด้านเสถียรภาพทางด้านการเงิน บริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Rating) จาก S&P Global Ratings อยู่ที่ระดับ BBB+ โดยแนวโน้มมีเสถียรภาพ และจาก Fitch Ratings อยู่ที่ระดับ A- มีแนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ และคงอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินภายในประเทศ (National IFS Rating) ที่ AAA(tha) โดยมีแนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ ซึ่งถือเป็นอันดับเครดิตในระดับประเทศที่สูงที่สุด และยังมีความเพียงพอของเงินกองทุนอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง สะท้อนจากอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนสูงกว่า 300% ณ สิ้นปี 2565 ซึ่งสูงกว่าระดับเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามเกณฑ์ที่ 140%
สำหรับในปี 2566 ตั้งเป้าการเติบโตที่มากขึ้นด้วยกลยุทธ์ “Happiness Reinvented” มุ่งดำเนินงานผ่าน 4 แกนสำคัญ ได้แก่ บุคลากร (People) พาร์ทเนอร์ (Preferred Partner) ลูกค้า (Customers) และ นอกเหนือจากลูกค้า(Beyond Our Customers) เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้บริโภค ครอบคลุมทุกเพศทุกวัย ทุกกลุ่มเป้าหมายสร้างการเข้าถึงของประกันชีวิตให้กับทุก ๆ คน พร้อมประกาศพร้อมปฏิบัติตามนโยบายและเป้าหมายด้าน ESG อย่างครบถ้วนทุกมิติ เพื่อสร้างความสุขอย่างยั่งยืนกับทั้งบริษัทและสังคม.-สำนักข่าวไทย