นนทบุรี 16 ม.ค.- ผู้อำนวยการ สนค. เผยสงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐและจีน มีแนวโน้มเร่งตัวรุนแรงขึ้น แนะไทยควรเร่งปรับตัว
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ที่มีการดำเนินมาตรการทางภาษีตอบโต้ระหว่างกันมาตั้งแต่ปี 2561 มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นและความขัดแย้งได้ขยายวงกว้างไปยังด้านอื่น โดยเฉพาะการแย่งชิงความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยี ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และการเป็นมหาอำนาจของโลก เมื่อเปรียบเทียบด้านเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐและจีน พบว่า สหรัฐมีจุดแข็งคือการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ (ความสามารถในการวิจัยพื้นฐานและคิดค้นสิ่งที่ยังไม่มีใครทำมาก่อน) และมีความสามารถในการเปลี่ยนผ่านนวัตกรรม(Breakthrough) ให้ใช้งานได้ดีกว่าเดิมหรือมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยสหรัฐฯ ได้เปรียบจีนด้านนวัตกรรมที่โดดเด่นสัดส่วนการใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาต่อ GDP การส่งออกสินค้าเทคโนโลยีระดับกลาง และความคืบหน้าของเทคโนโลยียุคใหม่ อาทิ เทคโนโลยีควอนตัม เซมิคอนดักเตอร์ และเทคโนโลยีชีวภาพ ขณะที่ จีน มีจุดแข็งคือการประยุกต์และการต่อยอดเทคโนโลยีเดิม และความสามารถในการผลิต เนื่องจากจีนมีแรงงานทักษะมหาศาล รวมไปถึงสามารถลดต้นทุนในกระบวนการผลิต ทำให้จีนเป็นโรงงานของโลก โดยจีนได้เปรียบสหรัฐ ด้านการครอบครองทรัพยากรสำคัญในยุคเทคโนโลยี เช่น ลิเทียม ธาตุหายาก แกรไฟต์ การส่งออกสินค้าเทคโนโลยีระดับสูง และความคืบหน้าของเทคโนโลยียุคใหม่ อาทิ ปัญญาประดิษฐ์ การสื่อสารแบบไร้สาย และพลังงานสีเขียว
ทั้งนี้ แนวโน้มการแข่งขันและการแบ่งขั้วทางเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐ กับจีนที่มีแนวโน้มเร่งตัวรุนแรงขึ้น มีโอกาสส่งผลต่อไทย อาทิ การเป็นแหล่งผลิตทางเลือกที่สามารถสนับสนุนเป้าหมายของสหรัฐ ในการร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านห่วงโซ่อุปทานของสหรัฐ โอกาสที่ไทยจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพที่สหรัฐ ให้การส่งเสริม ซึ่งเป็นสาขาที่สอดคล้องกับนโยบาย BCG ของไทย และโอกาสในการดึงดูดการลงทุนของไทย จากการย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศจีนเพิ่มขึ้นเพื่อกระจายความเสี่ยงตามยุทธศาสตร์ China Plus One
ประเด็นที่ไทยยังต้องจับตา/เฝ้าระวัง อาทิ การส่งเสริมการย้ายฐานการผลิต (Reshoring) ของสหรัฐ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนจากต่างประเทศในไทยในอนาคต ความขัดแย้งในประเด็นไต้หวันหากรุนแรงขึ้น อาจทำให้เกิดการหยุดชะงักของอุปทานเซมิคอนดักเตอร์ในตลาดโลก ส่งผลกระทบต่อประเทศผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่อง รวมถึงไทยที่เป็นฐานการผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ ซึ่งมีเซมิคอนดักเตอร์เป็นชิ้นส่วนสำคัญ อีกทั้งใจกลางความขัดแย้งด้านเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐและจีน ทั้งในระยะสั้น (ปัจจุบัน – ปี 2568) และในระยะกลาง (ปัจจุบัน – ปี 2573) อาจสร้างความเปลี่ยนแปลง/ส่งผลกระทบต่อการลงทุน การผลิต การค้า และห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงการกีดกันเทคโนโลยีขั้นสูงระหว่างห่วงโซ่อุปทานของทั้ง 2 ชาติและประเทศพันธมิตรที่มีแนวโน้มแยกจากกัน ซึ่งคาดว่าจะส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีเป้าหมายของไทยในสาขาเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ในอนาคต
ทั้งนี้ นับต่อจากนี้ เทคโนโลยีจะเป็นสิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนความเจริญทางเศรษฐกิจ และความมั่นคงของชาติในมิติต่าง ๆ อีกทั้งสงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐและจีนจะทำให้ภูมิทัศน์ของห่วงโซ่อุปทานทางเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น ซึ่งไทยควรเร่งปรับตัวเพื่อรับมือกับผลกระทบและใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น ดังนี้
- ส่งเสริมและดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ เพื่อให้ไทยสามารถพัฒนา/ร่วมพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองและสามารถขยายฐานการผลิตและแข่งขันได้ต่อไปในอนาคต รวมถึงเชิญชวนแบบเฉพาะเจาะจงสำหรับบริษัทเทคโนโลยีต่างชาติที่มีศักยภาพสูงที่ไทยต้องการให้เข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศ ตลอดจนดึงดูดแรงงานต่างชาติที่มีทักษะสูงหรือผู้เชี่ยวชาญ ด้านเทคโนโลยี
- เตรียมพร้อมทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน และลงทุนในนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูงที่จำเป็นต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต รวมถึงเร่งพัฒนาแรงงานฝีมือและการฝึกอาชีพในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเป้าหมาย
- ปรับตัวให้สอดรับกับการแบ่งขั้วห่วงโซ่อุปทานของเทคโนโลยีสำคัญระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยยึดโยงกับห่วงโซ่อุปทานของทั้งสองประเทศผ่านการส่งออกสินค้าวัตถุดิบ/สินค้าขั้นกลาง ส่งเสริมการลงทุนในสหรัฐฯ จีนและประเทศที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของสหรัฐฯ เชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานสำคัญภายใต้กรอบ IPEF และส่งเสริมความร่วมมือในการวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของไทยที่สอดรับกับเป้าหมายของสหรัฐและจีน
- เร่งส่งเสริมการค้าสินค้าเทคโนโลยี โดยในช่วง 5 ปีล่าสุด (2560 – 2564) มูลค่าการส่งออกเทคโนโลยีระดับกลาง (เช่น เครื่องยนต์ ยานยนต์) ของไทยขยายตัวเฉลี่ย 3.6% ต่อปี ขณะที่สินค้าเทคโนโลยีระดับสูง (เช่นสินค้าอิเล็กทรอนิกส์) ขยายตัวเฉลี่ย 1.5% ต่อปี ซึ่งยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก ซึ่งอยู่ที่ 6.9% และ 4.2% ตามลำดับ จึงยังมีโอกาสที่ไทยจะส่งเสริมการส่งออกสินค้าเทคโนโลยีระดับกลางและระดับสูงต่อไปได้อีก
- ลดความผันผวนของห่วงโซ่อุปทานและกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ ไม่ให้พึ่งพาประเทศใดประเทศหนึ่งมากเกินไป โดยส่งเสริมการสร้างพันธมิตรทางการค้า และมองหาคู่ค้ารายใหม่
- เร่งส่งเสริมความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจที่เกี่ยวเนื่องกับเทคโนโลยีเป้าหมาย
- ผลักดันการใช้สิทธิประโยชน์จากกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจทั้งระดับภูมิภาคและระดับอนุภูมิภาค โดยใช้ประโยชน์จากการยกเว้นภาษี/การเก็บภาษีระดับต่ำ และกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า (Rules of Origin)
อย่างไรก็ตาม ภาครัฐและภาคเอกชนควรกระชับความสัมพันธ์ร่วมกัน เพื่อใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานและการลงทุนที่มีแนวโน้มย้ายสู่อาเซียนมากขึ้น อีกทั้งผนึกกำลังเพื่อสร้างอำนาจการต่อรองทางเศรษฐกิจร่วมกับชาติพันธมิตรอาเซียน ทั้งนี้ ประเทศไทยควรบริหารความสัมพันธ์กับสองประเทศอย่างสมดุล มุ่งสร้างบรรยากาศการค้าการลงทุนที่เสรีและเป็นมิตรกับทุกประเทศ .-สำนักข่าวไทย