สพฉ. 8 พ.ค.-สพฉ.เตรียมพิจารณามอบเข็มเชิดชูเกียรติ กรณีรถกระบะพุ่งชนกู้ชีพที่ จ.ตรัง เสียชีวิต 4 คน วอนหากเห็นเจ้าหน้าที่กำลังปฏิบัติงาน ให้ชะลอความเร็วรถ เปิดทางให้ทำงาน
จากเหตุการณ์ที่รถกู้ชีพเทศบาลคลองเต็ง ออกให้การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ บริเวณหัวสะพานปลายหมัน อ.เมือง จังหวัดตรัง แล้วถูกรถกระบะพุ่งชน จนส่งผลให้เจ้าหน้าที่กู้ชีพเสียชีวิตรวม 4 รายและมีผู้บาดเจ็บอีก 6 ราย เมื่อวันที่ 7 พ.ค.ที่ผ่านมานั้น
วันนี้ (8 พ.ค.) เรืออากาศเอกนายแพทย์อัจฉริยะ แพงมา เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ได้กล่าวถึงกรณีที่เกิดขึ้น ว่า ต้องขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งไปยังครอบครัวของผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บทุกคน ภายหลังจากที่ได้ทราบเรื่อง สพฉ.ได้ส่งผู้แทนลงพื้นที่ทันทีเพื่อให้กำลังใจกับญาติและเจ้าหน้าที่ที่เหลือ และเข้าร่วมพิธีศพที่จะจัดขึ้นในวันนี้ รวมทั้งหาข้อมูลเพื่อวางแนวทางในการป้องกันอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นกับรถพยาบาลฉุกเฉินต่อไปในอนาคต
เลขาธิการ สพฉ. กล่าวต่อไปว่า ในการออกปฏิบัติการแต่ละครั้งนั้นบุคลากรการแพทย์ฉุกเฉินทุกคนเป็นผู้ที่มีความเสี่ยง ทั้งจากปัจจัยด้านตัวรถที่ใช้ออกปฏิบัติการ และปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมต่างๆเช่น ถนน รวม ทั้งผู้ขับขี่ยานพาหนะ ซึ่งปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ถือเป็นเรื่องที่ควบคุมได้ยาก แต่ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่ควบคุมได้ยาก สพฉ.ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ที่ผ่านมาได้ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหามาตรการเพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการฝึกอบรมผู้ขับขี่รถ พยาบาลฉุกเฉิน การจำกัดความเร็วในรถพยาบาลฉุกเฉิน การเพิ่มจุดติดตั้งไฟวับวาบรอบตัวรถ การติดตั้ง GPS และกล้อง CCTV ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานก็ต้องระมัดระวังและทำตามคำแนะนำเกี่ยวกับแนวทางความปลอดภัยด้วย
ส่วนประเด็นการเยียวยานั้น เรืออากาศเอกนายแพทย์อัจฉริยะ กล่าวว่า สพฉ. จะประสานหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องสิทธิประโยชน์แก่ทายาทผู้เสียชีวิตและค่าใช้จ่ายในการรักษาตัวผู้บาดเจ็บ และจะพิจารณามอบเข็มเชิดชูเกียรติให้กับผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บทุกคน พร้อมเน้นย้ำให้หน่วยปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉินทุกแห่งเล็งเห็นถึงความสำคัญ ในการทำประกันภัยรถและประกันชีวิตให้เจ้าหน้าที่ทุกคน และฝากถึงประชาชนทุกคนให้ขับรถด้วยความเร็วตามที่กฏหมายกำหนดและหากเห็นรถของเจ้าหน้าที่กำลังปฏิบัติงานอยู่ก็ขอให้ชะลอความเร็วและเปิดทางให้เจ้าหน้าที่ทำงานในการช่วยชีวิตผู้ป่วยฉุกเฉินให้สะดวกขึ้นด้วย .-สำนักข่าวไทย