กรุงเทพฯ 13 ธ.ค.- รัฐบาล เข็น “โครงการชุมชนไม้มีค่า” หวังดันไม้ยืนต้นเป็นหลักประกันการกู้ 1.43 แสนต้น เพิ่มพื้นที่สีเขียวป่าเศรษฐกิจ 1 แสนไร่
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า หลังจากรัฐบาล ได้ขับเคลื่อนโครงการชุมชนไม้มีค่า ระยะ 10 ปี กลุ่มเป้หมาย 2.6 ล้านครัวเรือน ด้วยการปลูกไม้มีค่าครัวเรือนละ 400 ต้น ส่งผลให้มีจำนวนต้นไม้ 1,040 ล้านต้น ได้พื้นป่าเพิ่มขึ้น 26 ล้านไร่ ส่งผลให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ 1,040 ล้านบาท ทั้งนี้ต้นไม้มีค่า มี 58 ชนิด เช่น 1.สัก 2.พะยูง 3.เต็ง 4.รัง 5.มะขามป้อม 6.จามจุรี 7.สัตบรรณ 8.ตะเคียนทอง 9.นางพญาเสือโคร่ง 10.มะขาม
ที่ประชุม ครม. วันนี้ รับทราบความคืบหน้าการขับเคลื่อนโครงการชุมชนไม้มีค่า เฟส 1 ( 2562 – 2564) หลังได้ปลดล็อกไม้หวงห้าม จากเดิมที่กำหนดให้ไม้มีค่าทางเศรษฐกิจที่ขึ้นในที่ดินประเภทอื่นที่ไม่ใช่ป่าเป็น “ไม้หวงห้าม” การอนุญาตให้ทำการปลูกสร้างสวนป่า หรือปลูกไม้ยืนต้นในเขตป่าสงวนแห่งชาติ การผลักดันการลดภาษีและยกเว้นภาษีสำหรับไม้ ไม้แปรรูปและของทำด้วยไม้
การเพาะพันธุ์ ขยายพันธุ์กล้าไม้มีค่าทางเศรษฐกิจสูง อาทิ กรมป่าไม้เพาะพันธุ์ ขยายพันธุ์กล้าไม้มีค่าทางเศรษฐกิจแจกจ่ายให้ประชาชนทั่วไป รวมทั้งสิ้น 243.8 ล้านกล้าไม้ และได้จัดทำเรือนเพาะชำกล้าไม้ชุมชนใน 730 ชุมชน สามารถผลิตกล้าไม้ได้ชุมชนละ 20,000 กล้าไม้ รวมทั้งสิ้น 14.6 ล้านกล้าไม้ โดยมีหลายหน่วยงานรัฐร่วมผลักดันโครงการ
สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้สนับสนุนงบประมาณ เพื่อสร้างองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรม การพัฒนาเกณฑ์มาตรฐานการประเมินมูลค่าไม้เพื่อใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจ การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมแม่นยำทางป่าไม้ การจัดการและการประเมินมูลค่าไม้ การใช้ประโยชน์จากไม้ขนาดเล็ก เศษไม้ ปลายไม้ เพื่อการสร้างบ้านอาคาร เฟอร์นิเจอร์ เชื้อเพลิงอัดเม็ดและพลังงาน
สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) ขยายผลและสื่อสารสร้างการรับรู้และเข้าใจมีชุมชนเข้าร่วมโครงการผ่านกิจกรรมป่าครอบครัว 1,218 ราย ในพื้นที่ 15,123 ไร่ สามารถดำเนินการชุมชนไม้มีค่า คิดเป็นมูลค่า227.74 ล้านบาท และการใช้ประโยชน์ทางอ้อมผ่านการประเมินมูลค่าระบบนิเวศสะสม พ.ศ.2562-2564 คิดเป็นมูลค่า 1,202.38 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 1,430 ล้านบาท
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สร้างมูลค่าเพิ่มชุมชนไม้มีค่า 321 ชุมชน มีรายได้จากผลิตภัณฑ์ที่ได้จากต้นไม้และป่าไม้ประมาณ 90 ล้านบาท และได้ปริมาณการกักเก็บคาร์บอนประมาณ 4.68 แสนตันคาร์บอนไดออกไซด์ รวมทั้งสนับสนุนเกษตรกรในการใช้ต้นไม้เป็นหลักประกัน เบื้องต้นได้สนับสนุนเฉพาะในพื้นที่เอกสารสิทธิ์ 292 ต้น และให้มูลค่าหลักประกันแก่เกษตรกรที่ใช้ต้นไม้ยื่นกู้คิดเป็นมูลค่า 3.1 ล้านบาท
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้จดทะเบียนการนำไม้ยืนต้นมาเป็นหลักประกัน ตั้งแต่วันที่ 16 มี.ค.2562 ถึง 31 ธ.ค.2564 จำนวน 1.43 แสนต้น จำนวนเงินค้ำประกัน 136.83 ล้านบาท สามารถเพิ่มพื้นที่สีเขียว ส่วนป่าเศรษฐกิจ 1.07 แสนไร่ สร้างความสมดุลของระบบนิเวศจากฐานความหลากทางชีวภาพในพื้นที่สีเขียวนอกเขตอนุรักษ์ และสามารถลดจำนวนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ คาดว่าจะเกิดชุมชนไม้มีค่าเพิ่มขึ้น 4,969 ชุมชน ประชาชนที่ได้รับผลประโยชน์ 4,650 ครัวเรือน มีต้นไม้เพิ่มขึ้น 60 ล้านต้น และมีพื้นที่ป่าเพิ่มขึ้น 14,040 ไร่ .-สำนักข่าวไทย