กรุงเทพฯ 7 ธ.ค. – “ชูวิทย์” อดีตนักการเมืองชื่อดัง แฉอดีตผู้การ สตม.เพื่อนร่วมรุ่น นรต.47 “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” เอี่ยวขบวนการแปลงวีซ่าให้ทุนจีนสีเทามาทำธุรกิจในไทย
นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีนนักการเมืองชื่อดัง แถลงปฏิบัติการทลายภูเขาน้ำแข็งใต้น้ำ กรณีมีตำรวจสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) คอยอำนวยความสะดวกกลุ่มทุนจีนสีเทา พร้อมเปิดหลักฐานการจัดตั้งมูลนิธิรับจดทะเบียนให้คนจีนพักอาศัยในไทยโดยผิดกฎหมาย
นายชูวิทย์ กล่าวว่า สิ่งที่จะพูดไม่ได้เป็นประเด็นการเมือง แต่เป็นการตั้งคำถามไปยังผู้มีอำนาจที่อยู่ในรัฐสภาและทำเนียบรัฐบาล เพราะเรื่องที่เปิดเผยเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น โดยวันนี้จะเน้นไปที่ สตม.ซึ่งเป็นด่านแรก และมีผู้เกี่ยวข้องบางคนส่งเสริมให้ทุนจีนสีเทาเข้าสู่ประเทศในรูปแบบขบวนการแปลงวีซ่า ซึ่งชาวจีนที่ประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย เมื่อเข้ามาในไทยจะได้วีซ่านักท่องเที่ยว สามารถอยู่ในประเทศ 30 วัน ดังนั้น เพื่อเปลี่ยนประเภทวีซ่าเป็นวีซ่าสำหรับประกอบธุรกิจ (non b visa) หรืออาสาสมัครมูลนิธิ (non o visa) จึงติดต่อผ่านคนกลางที่มีทั้งรูปแบบสำนักงานกฎหมายชาวจีนที่ว่าจ้างคนไทย และรูปแบบบุคคล เพื่อไปสมัครเป็นเจ้าหน้าที่อาสาสมัครของมูลนิธิแห่งหนึ่ง เพื่อสนับสนุนการศึกษาภาษาจีนของเด็กและเยาวชน ซึ่งการเปลี่ยนวีซ่าดังกล่าวมีค่าใช้จ่ายรายละ 100,000-300,000 บาท
สำหรับมูลนิธินี้เริ่มก่อตั้งเมื่อปี 2561 อยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง จ.ขอนแก่น โดยปี 2563 มีสมาชิก 2,747 ราย ใน จ.ขอนแก่น และ จ.กาฬสินธิ์ อีก 907 ราย ซึ่งผู้ที่มีอำนาจในการขออนุมัติเปลี่ยนวีซ่านั้น ต้องเป็นระดับผู้บังคับการขึ้นไป โดยปี 2563-2564 มีการอนุมัติให้ผู้เปลี่ยนประเภทวีซ่าแล้วกว่า 3,325 ราย ซึ่งนายตำรวจดังกล่าวมียศ พล.ต.ต.ถึง 3 นาย เป็นอดีต ผบก.ตม.4 และ ตม.5 โดยมี 2 นาย เป็นเพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.) 47 กับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.นอกจากมูลนิธินี้ และมูลนิธิอื่นรวม 6 แห่ง และมีสมาคมเถื่อนและการอุ้มท้องซื้อพ่อ ฉะนั้น ผบ.ตร.จะต้องจัดการ ไม่เช่นนั้นเมื่อเรื่องเงียบก็จะกลับเข้ามา
ส่วนกรณีนายสันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตนายตำรวจสันติบาล กล่าวหาว่าตกแต่งบัญชีเพื่อเลี่ยงภาษีนั้น ตนเป็นพ่อค้า เมื่อคิดจะลงทุนสร้างโรงแรม แต่เงินไม่พอ ก็ต้องติดต่อผ่านธนาคาร หากไม่อนุมัติให้กู้ ต้องพูดคุยกับกรรมการ เพื่อให้ร่วมลงทุนเพิ่มเติม ถือเป็นเรื่องปกติทางการค้า.-สำนักข่าวไทย