กรุงเทพฯ 10 พ.ย. – ราคาน้ำมันไตรมาส 3/65 ดิ่ง ส่งผลกลุ่ม ปตท. ขาดทุนสตอก รวม 2.5 หมื่นล้านบาท และเป็นหนึ่งในปัจจัยกดกำไรสุทธิ ปตท. อยู่ที่ 8,884 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 62.4 รวม 9 เดือนแรกของปี 2565 กลุ่ม ปตท. นำเงินส่งรัฐกว่า 64,461 ล้านบาท พร้อมช่วยเหลือต้นทุนค่าพลังงานต่อเนื่อง
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงาน ปตท. และบริษัทย่อย ใน 9 เดือนแรกของปี 2565 ทั้งในและต่างประเทศ มีรายได้ 2,570,029 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 73,303 ล้านบาท ลดลง 9% จากช่วงเดียวกันของปี 2564 เนื่องจากขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์ ภาษีเงินได้ และขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เพิ่มขึ้น โดยกำไรสุทธิจำนวน 73,303 ล้านบาท มาจากผลการดำเนินงานของ ปตท. คิดเป็น 13% ซึ่งลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผลการดำเนินงานของธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ที่ต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติปรับสูงขึ้นมาก และอีก 87% มาจากผลการดำเนินงานของบริษัทในเครือ ปตท. ซึ่งประกอบด้วยธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม 49% ธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน และบริษัทย่อยอื่นๆ 24% ธุรกิจน้ำมันและค้าปลีก 11% สำหรับธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นมีสัดส่วนเพียง 3% โดยผลการดำเนินงานได้รับผลกระทบจากขาดทุนสตอกน้ำมันที่เพิ่มขึ้นมากตามทิศทางราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงตามความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย
สำหรับผลการดำเนินงานที่ลดลง เช่น มาจากธุรกิจปิโตรเคมีที่ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีส่วนใหญ่ทั้งสายโอเลฟินส์และอะโรเมติกส์ ปรับตัวลดลง และปริมาณขายที่ลดลงจากการปิดซ่อมบำรุงตามแผน รวมทั้งธุรกิจการกลั่นมีผลการดำเนินงานลดลง จากขาดทุนสตอกน้ำมันเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ขาดทุนสตอกน้ำมันของกลุ่ม ปตท. ไตรมาส 3/65 อยู่ที่ 25,000 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นประมาณ 36,000 ล้านบาท ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลง ส่งผลขาดทุนจากสตอก 7.9 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ในขณะที่ในไตรมาส3/2564 กำไร 3.3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล) ส่วนกำไรขั้นต้นจากการกลั่น (Market GRM) และปริมาณขายเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติมีผลการดำเนินงานที่ปรับตัวลดลงจากกำไรขั้นต้นของธุรกิจจัดหาและจัดจำหน่ายก๊าซฯ และธุรกิจ NGV ซึ่งมีต้นทุนค่าเนื้อก๊าซฯ ที่เพิ่มขึ้นมาก ตามราคา Pool Gas ที่เพิ่มขึ้นจากปริมาณและราคา LNG นำเข้าที่สูงขึ้น ในขณะที่กลุ่มธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม มีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นตามราคาขายเฉลี่ย และปริมาณขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น
สำหรับกำไรสุทธิของ ปตท. ในไตรมาส 3/2565 อยู่ที่ 8,884 ล้านบาท ลดลง 62.4% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วตาม EBITDA ที่ลดลง ประกอบกับมีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น แม้ว่ามีกำไรจากตราสารอนุพันธ์เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี มีการรับรู้ขาดทุนจากรายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจำสุทธิภาษีตามสัดส่วนของ ปตท. เพิ่มขึ้น โดยหลักจากการด้อยค่าสินทรัพย์ที่ถือไว้ เพื่อขายจาก PTTEP Brazil Investments in Oil and Gas Exploration and Production Limitada (PTTEP BL) ของ บริษัท ปตท.สารวจและผลิตปิโตรเลียม จากัด (มหาชน) (PTTEP) ประมาณ 2,300 ล้านบาท และการจ่ายเงินสนับสนุนเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงช่วงสถานการณ์วิกฤติในเดือนกันยายน 2565 จานวน 1,000 ล้านบาท ระยะเวลา 3 เดือน ของ ปตท. โดยเริ่มสนับสนุนตั้งแต่เดือนกันยายน 2565 สุทธิกับการรับรู้ส่วนลดจากปริมาณที่ผู้ผลิตส่งได้ไม่ถึงปริมาณตามสัญญา (Shortfall) ประมาณ 900 ล้านบาท ของ ปตท. และรับรู้ขาดทุนจากรายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจำสุทธิภาษีตามสัดส่วนของ ปตท. โดยหลักจากการตัดจำหน่ายอะไหล่เสื่อมสภาพประมาณ 700 ล้านบาทของ ปตท.
สำหรับคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบในไตรมาส 4/2565 คาดเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 91-96 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และค่าการกลั่นจะเฉลี่ยอยู่ที่ 3.5-4.5 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ลดลงจากไตรมาส 3/2565 เนื่องจากอุปสงค์ที่ลดลง ท่ามกลางการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และอุปทานส่งออกจากประเทศจีน
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2565 ที่ผ่านมา คณะกรรมการ ปตท. มีมติอนุมัติการจ่ายปันผลระหว่างกาล ส่งผลให้กระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่และกองทุนวายุภักษ์ จะได้รับเงินปันผลรวมประมาณ 23,494 ล้านบาท และเมื่อรวมกับภาษีเงินได้นิติบุคคลของ ปตท. และบริษัทในเครือ (9 เดือนแรกของปี 2565) อีกประมาณ 40,967 ล้านบาท รวมกลุ่ม ปตท. นำส่งรายได้เข้ารัฐปี 2565 แล้ว 64,461 ล้านบาท
กำไรของ ปตท. ภายหลังการจ่ายเงินปันผลให้แก่รัฐและผู้ถือหุ้น จะนำไปลงทุนเพิ่มเติมในโครงการต่างๆ ที่สำคัญ รวมถึงสนับสนุนการดำเนินงานด้านกิจการเพื่อสังคม โดยในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 และสถานการณ์ราคาพลังงานปรับตัวสูง (ปี 2564-2565) ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ปตท. ร่วมแบ่งเบาภาระต้นทุนค่าครองชีพด้านพลังงานกว่า 23,800 ล้านบาท รวมทั้งดูแลสังคมจัดตั้งโครงการลมหายใจเดียวกัน กลุ่ม ปตท. ให้บริการตรวจคัดกรองเชื้อโควิดรวมงบประมาณ 1,046 ล้านบาท โครงการลมหายใจเพื่อน้อง ช่วยเหลือเยาวชนกว่า 60,000 คน ที่เสี่ยงต่อการหลุดจากระบบการศึกษาและจัดตั้งกองทุน จำนวน 171 ล้านบาท และโครงการลมหายใจเพื่อเมือง สนับสนุนเป้าหมายของกรุงเทพมหานคร ในการปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียว
นอกจากนั้น ปตท. ยังได้ประกาศเจตนารมณ์มุ่งสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality ในปี ค.ศ. 2040 และเป้าหมาย Net Zero Emissions ในปี ค.ศ. 2050 พร้อมกันนี้ กลุ่ม ปตท. ยังมุ่งปลูกป่าเพิ่มเติมรวม 2 ล้านไร่ ภายในปี ค.ศ. 2030 แบ่งเป็นการดำเนินการโดย ปตท. 1 ล้านไร่ และความร่วมมือบริษัทในกลุ่ม ปตท. อีก 1 ล้านไร่ สร้างคุณค่าด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจชุมชน นำมาซึ่งคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทยอย่างต่อเนื่อง.-สำนักข่าวไทย