กรุงเทพฯ 7 ต.ค. – รองโฆษก บช.น. ยอมรับอดีตตำรวจคลั่ง ยิงกราดศูนย์เด็กเล็ก จ.หนองบัวลำภู เคยเป็นตำรวจในสังกัด พบประวัติชอบเก็บตัวไม่ยุ่งกับใคร ชื่นชอบอาวุธปืน ก่อนขอย้ายกลับบ้านด้วยเหตุผลไม่ชำนาญงานคอมพิวเตอร์
พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์ รองโฆษก บช.น. ระบุถึงกรณี ส.ต.อ.กราดยิงผู้เสียชีวิตกว่า 30 ราย ที่จังหวัดหนองบัวลำภู ว่า ทางกองบัญชาการตำรวจนครบาลมีความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อญาติของผู้เสียชีวิต กับเหตุการณ์ดังกล่าว ยอมรับว่าอดีตตำรวจดังกล่าวเคยอยู่สังกัดที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลจริง หลังจบจากศูนย์ฝึกอบรมภูธร ภาค 3 บรรจุเข้ารับราชการเป็นตำรวจ ที่ สน.ยานนาวา ในตำแหน่ง ผบ.หมู่ งานปราบปราม ในยศสิบตำรวจตรี ก่อนจะย้ายไปรับตำแหน่ง ผบ.หมู่ งานสืบสวน ในยศ ส.ต.ท. ที่ สน.ลุมพินี ซึ่งการเข้ารับราชการตำรวจได้การดำเนินการตรวจสอบตามขั้นตอนปกติ เช่น มีการตรวจสอบว่าเป็นบุคคลผิดต้องห้ามหรือไม่ ก่อนจะส่งตัวไปฝึก
ขณะที่ระหว่างอยู่ที่ในสังกัด บช.น.นั้น มีการพิจารณาเลื่อนขั้น 0.5 หรือ 1 ขั้น ถือว่าไม่ได้มีความโดดเด่น และไม่มีความพร้อมในการใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ สุดท้ายขอย้ายกลับไปตามภูมิลำเนาที่จังหวัดหนองบัวลำภู
ส่วนนิสัยใจคอ จากการตรวจสอบตามเอกสาร พบว่าระหว่างทำงานไม่สามารถทำงานกับเพื่อนร่วมงานได้ตามปกติ เป็นคนเก็บตัว ไม่ค่อยพูดคุยกับใคร เป็นคนชอบเล่นอาวุธปืน
ส่วนประเด็นที่มีการพูดกันว่าเจ้าตัวมีปัญหาเกี่ยวข้องกับยาเสพติดมาตั้งสมัยมัธยม ทางกองบัญชาการตำรวยนครบาลไม่เคยพบประวัติในส่วนนี้ แต่ยอมรับว่าช่วงย้ายไปรับตำแหน่ง ผบ.หมู่ด้านงานสืบสวน สน. ลุมพินีอาจเป็นจุดเปลี่ยน ทำให้เจ้าตัวกลับไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด เพราะงานมีความใกล้ชิดต้องสัมผัสหรือเกี่ยวข้องกับยาเสพติด
รองโฆษก บช.น. กล่าวว่า ขณะนี้ พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. ดูแลงานสืบสวน ได้สั่งการให้ตรวจสอบกรณีดังกล่าวแล้ว โดยให้ทุกคนที่ทำงานเกี่ยวกับงานสืบสวน ตรวจสอบตำรวจฝ่ายสืบสวนที่มีลักษณะเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และทางกองบัญชาการตำรวจนครบาล ยังได้มีการกำชับให้ทุกกองบังคับการตรวจสอบตำรวจในสังกัดของตนเองที่มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติดหรือพฤติกรรมที่เข้าข่ายเป็นกลุ่มเสี่ยง หากพบให้ดำเนินการลงโทษตามวินัยทันที
รองโฆษก บช.น.ระบุอีกว่ากรณีการกราดยิงดังกล่าวทาง บช.น.ได้มีการฝึกการเตรียมความพร้อมให้กับข้าราชการตำรวจในสังกัด ซึ่งมีการฝึกอบรมอยู่เป็นระยะมาก่อนหน้านี้ รวมถึง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ดูแลงานด้านป้องกันและปราบปราม ให้ความสำคัญกับการฝึกข้าราชการตำรวจส่วนหน้าในทุกหลักสูตรสำคัญ
สำหรับกรณีผู้เสพยาเสพติดนั้น พล.ต.อ.ดำรงค์ศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. สั่งการให้ บช.น.ดำเนินการตรวจสอบตามชุมชนนำตัวส่งบำบัดผู้เสพยาเสพติด โดยส่งไปทั้งสิ้น 1,036 ราย จากนั้นต้องทำการติดตามเป็นบุคคลเฝ้าระวังอาจกลับไปเสพยาเสพติดต่อ หรือคลุ้มคลั่งก็เป็นไปได้ ผู้กำกับการในพื้นที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ ส่วนของการปราบปรามอาวุธปืน มีการระดมกวาดล้างอาชญากรรมเป็นช่วง ๆ มีการดำเนินการปี 2563 จับกุมได้ 687 ราย ปี 65 จับกุมได้ 930 ราย ซึ่งมีการจับกุมอาวุธเพิ่มมากขึ้น
ส่วนประเด็นผู้ต้องหารายนี้ออกจากความเป็นตำรวจไปแล้ว แต่ยังคงมีอาวุธปืนได้อย่างไร ในข้อเท็จจริงร้อยละ 90 ตำรวจจะทำเรื่องขอมีอาวุธปืนส่วนตัว ต้องมีการขอการรับรองจากผู้บังคับบัญชา ซึ่งกรณีดังกล่าวอยู่ระหว่างการต้องคดีหรือพ้นสภาพแล้วจะต้องยื่นรายชื่อดังกล่าวระงับห้ามใช้ ห้ามมี แต่ในกรณีนี้ยังไม่สามารถทราบได้ว่าขั้นตอนการดำเนินการเกี่ยวกับอาวุธปืนไปถึงขั้นใดหรือมีการดำเนินการอย่างไร
ทั้งนี้ ภายในสังกัดมีอดีตตำรวจต้องคดีลักษณะดังกล่าว และถูกให้ออกจากราชการแล้ว 7 ราย ในช่วง 3 ปี ที่ผ่านมา ต่อไปจะต้องดำเนินการตรวจสอบประวัติเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะยาเสพติดจะไม่สามารถขออาวุธส่วนตัวได้ พร้อมสั่งการให้ผู้บังคับบัญชาทุกหน่วยต้องพิจารณาในการออกใบรับรองความประพฤติให้กับลูกน้องตนเพื่อใช้ในการขออาวุธปืน โดยผู้บังคับบัญชาทุกหน่วยจะต้องพิจารณาพฤติกรรมของลูกน้องตนเองหากอยู่ในกลุ่มเสี่ยงไม่ควรอนุญาตหรือออกใบรับรองเพราะถือเป็นความรับผิดชอบของผู้นำหน่วย รวมถึงทุกหน่วยภายใต้สังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาลต้องมีการสุ่มตรวจคาดการณ์ตำรวจทุกระดับชั้นเกี่ยวกับสารเสพติดซึ่ง ที่ผ่านมามีการดำเนินการสุ่มตรวจอยู่เป็นระยะแต่ต่อจากนี้จะให้การสุ่มตรวจมีความเข้มข้นมากขึ้นหากพบกลุ่มคนที่เข้าข่ายต้องสงสัยหรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยงผู้นำหน่วยหรือผู้บังคับบัญชาต้องควบคุมดูแลและดำเนินการลงโทษตามวินัยตำรวจทันที.-สำนักข่าวไทย