นิวยอร์ก 8 มี.ค.- ผู้เชี่ยวชาญในแวดวงท่องเที่ยวเผยว่า ยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าสหรัฐลดลงตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีคำสั่งห้ามคนเข้าเมืองชั่วคราวเมื่อเดือนมกราคม ประกอบกับดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น
คายัค เว็บไซต์บริการนำเที่ยวเผยว่า การสืบค้นเที่ยวบินจากยุโรปมาสหรัฐลดลงถึงร้อยละ 23 หนึ่งวันหลังจากทรัมป์ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเมื่อวันที่ 27 มกราคม ห้ามคนจาก 7 ชาติมุสลิมและผู้ลี้ภัยเข้าประเทศเป็นการชั่วคราว ขณะที่ฟอร์เวิร์ดคีย์ส บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลการเดินทางท่องเที่ยวเผยว่า ยอดจองท่องเที่ยวสหรัฐจากทั่วโลกลดลงร้อยละ 6.5 ในช่วงสัปดาห์หลังจากนั้น ส่วนชีปไฟลท์ส เว็บไซต์เปรียบเทียบราคาตั๋วเครื่องบินสำรวจกับชาวอังกฤษซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวอันดับสามของสหรัฐรองจากชาวแคนาดาและชาวเม็กซิโกพบว่า ร้อยละ 29 ไม่อยากไปสหรัฐหากทรัมป์ยังเป็นผู้นำอยู่ ตรงกับที่สมาคมการท่องเที่ยวฝรั่งเศสเผยว่า ลูกค้าบอกว่าเลือกไปแคนาดาหรือเม็กซิโกแทนสหรัฐเพราะไม่ชอบทรัมป์
อย่างไรก็ดี สมาคมบริษัทนำเที่ยวอังกฤษติงว่า หากยอดชาวอังกฤษจองไปเที่ยวสหรัฐในฤดูร้อนนี้ลดลงจากปีก่อนก็เป็นเพราะปอนด์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ เพราะที่ผ่านมาเป็นเช่นนี้ทุกครั้ง เช่นเดียวกับสมาคมการท่องเที่ยวเยอรมนีที่ระบุว่า ปีที่แล้วยอดจองไปเที่ยวสหรัฐจากเยอรมนีลดลงทั้งที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามายังอยู่ในตำแหน่ง เพราะยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
ด้านเอ็นวายซีแอนด์คอมพานี บริษัทการตลาด การท่องเที่ยวและหุ้นส่วนอย่างเป็นทางการของนครนิวยอร์กคาดว่า ปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือนลดลง 300,000 คน เพราะผลจากคำสั่งห้ามคนเข้าเมืองชั่วคราวและวาทะที่เกี่ยวข้อง หากเป็นจริงก็จะเป็นการลดลงครั้งแรกตั้งแต่เริ่มเกิดวิกฤตการเงินโลกในปี 2551 และจะมีผลต่อเศรษฐกิจอย่างยิ่ง เนื่องจากนักท่องเที่ยวต่างชาติใช้จ่ายมากกว่านักท่องเที่ยวในประเทศราว 4 เท่าต่อการท่องเที่ยว 1 ครั้ง.-สำนักข่าวไทย