กรุงเทพฯ 29 ก.ค.- ในวันที่ 12-18 ตุลาคม 2569 ประเทศไทยจะได้แสดงศักยภาพให้ประชาคมโลกได้เห็นอีกครั้ง ด้วยการเป็นเจ้าภาพการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) และธนาคารโลก (World Bank Group: WBG) หรือ IMF-WBG Annual Meetings ซึ่งเป็นเวทีการประชุมทางเศรษฐกิจสำคัญของโลก
รู้จักธนาคารโลกและ IMF
ธนาคารโลกและ IMFก่อตั้งขึ้นในปี 2487 (ค.ศ. 1944) โดยเป็นผลจากการประชุมที่เมืองเบรตตันวูดส์ของสหรัฐ (Bretton Woods Conference) เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจโลกที่ได้รับความเสียหายหนักจากสงครามโลกครั้งที่สอง ทั้งสองสถาบันนี้มีเป้าหมายร่วมกันในการส่งเสริมเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการพัฒนา แต่มีหน้าที่และบทบาทที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
ธนาคารโลกมุ่งเน้นการพัฒนาในระยะยาว
ธนาคารโลกมีบทบาทหลักในการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและการลดความยากจนในประเทศกำลังพัฒนา ด้วยการให้เงินทุนสำหรับโครงการพัฒนา เช่น ถนน โรงเรียน โรงพยาบาล และพลังงานสะอาด, การให้ความช่วยเหลือด้านเทคนิค เช่น คำปรึกษาทางเศรษฐกิจ การวางนโยบาย และการปฏิรูประบบราชการ, การวิจัยและเผยแพร่ข้อมูล เพื่อช่วยในการวางแผนพัฒนาอย่างมีข้อมูลรองรับ, การเสริมสร้างศักยภาพภาครัฐ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารและให้บริการประชาชน
ในด้านการช่วยเหลือวิกฤตเศรษฐกิจ ธนาคารโลกมีบทบาทสำคัญในการช่วยบรรเทาวิกฤตเศรษฐกิจโลกมาโดยตลอด เช่น วิกฤตการเงินโลกปี 2008 ธนาคารโลกได้เพิ่มสินเชื่อฉุกเฉินอย่างมากและสนับสนุนโครงการคุ้มครองทางสังคม เพื่อช่วยประเทศกำลังพัฒนาให้รอดพ้นจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และในช่วงวิกฤตการณ์โควิด-19 ธนาคารโลกตอบสนองด้วยการจัดตั้งกองทุนฉุกเฉินหลายพันล้านดอลลาร์ เพื่อจัดการด้านสาธารณสุขและเศรษฐกิจ รวมถึงสนับสนุนการจัดซื้อวัคซีนและช่วยเหลือในการฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
IMF มุ่งรักษาเสถียรภาพทางการเงินของโลก
IMF มีหน้าที่หลักในการดูแลเสถียรภาพทางการเงินระหว่างประเทศ, ส่งเสริมความร่วมมือด้านการเงิน, รักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน, ส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศที่ประสบปัญหาด้านการเงินหรือดุลการชำระเงิน ด้วยการติดตามและวิเคราะห์เศรษฐกิจโลก พร้อมให้คำแนะนำเชิงนโยบายแก่ประเทศสมาชิก, การให้เงินกู้ฉุกเฉินและระยะสั้น สำหรับประเทศที่ประสบวิกฤตทางการเงิน และการให้ความช่วยเหลือด้านเทคนิคและอบรมบุคลากร เช่น ระบบภาษี การเงิน การจัดการงบประมาณภาครัฐ และการบริหารหนี้สาธารณะ
ประเทศไทยกับธนาคารโลก
ประเทศไทยเป็นสมาชิกของธนาคารโลกตั้งแต่ปี 2492 และได้รับความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นโครงการพัฒนาชนบท ระบบการศึกษา พลังงาน และคมนาคม ในช่วงหลังมานี้ บทบาทของธนาคารโลกในประเทศไทยได้เปลี่ยนจากการให้เงินกู้โดยตรงมาเป็นการให้คำปรึกษาและสนับสนุนเชิงวิชาการ เนื่องจากประเทศไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางระดับสูงตั้งแต่ปี 2554
โครงการสำคัญที่ร่วมมือกับธนาคารโลก ได้แก่ การพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC), การยกระดับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และการปฏิรูปการศึกษา โครงการด้านพลังงานสะอาดและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
เป้าหมายของกรอบความร่วมมือในการพัฒนาประเทศไทย คือ สนับสนุนให้เปลี่ยนผ่านไปสู่การเป็นประเทศที่ใช้นวัตกรรมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การเติบโตแบบมีส่วนร่วมและมีความยั่งยืน กรอบความร่วมมือนี้สนับสนุนแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) โดยมุ่งเน้นที่การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมที่สำคัญเพื่อลดความยากจนและกระจายความมั่งคั่งอย่างทั่วถึง
ประเทศไทยกับ IMF
ประเทศไทยเป็นสมาชิก IMF ในปีเดียวกับที่เป็นสมาชิกธนาคารโลก และเข้าร่วมโครงการปรับเปลี่ยนที่ได้รับการสนับสนุนจาก IMF ในช่วงคริสต์ทศวรรษหลังปี 1980 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจไม่เติบโต เงินเฟ้อสูง และขาดุลบัญชีเดินสะพัดเพิ่มขึ้น
เหตุการณ์สำคัญที่สุดที่ไทยเกี่ยวข้องกับ IMF คือ วิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 เมื่อค่าเงินบาทตกต่ำอย่างรุนแรง ระบบการเงินพังทลาย รัฐบาลไทยจึงขอรับความช่วยเหลือจาก IMF และได้รับแพ็คเกจเงินกู้มูลค่ากว่า 17,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (กว่า 551,500 ล้านบาทในปัจจุบัน)
ปัจจุบัน ประเทศไทยไม่มีการกู้ยืมจาก IMF อีกต่อไป แต่ยังคงมีความร่วมมือด้านการให้คำปรึกษาและการฝึกอบรมด้านเศรษฐกิจและการคลัง
ไทยกับการเป็นเจ้าภาพ IMF-WBG Annual Meetings ปี 2569
IMF และธนาคารโลกมีการประชุมประจำปีทุกเดือนตุลาคม โดยจะจัดที่สำนักงานใหญ่ของ IMF และธนาคารโลกที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 2 ปีติดต่อกัน และตามพิธีปฏิบัติ ในปีที่ 3 จะเวียนจัดในประเทศสมาชิกที่ได้รับคัดเลือก เพื่อสะท้อนความเป็นสากลของทั้งสององค์กร และในการประชุมประจำปี 2566 ที่กรุงมาร์ราเกซของโมร็อกโก มีพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพการประชุมประจำปี 2569 ตามที่ไทยเสนอชื่อเข้ารับการคัดเลือก
เหตุผลที่ไทยได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพ
ประเทศไทยผ่านเกณฑ์การพิจารณาที่ละเอียดและเข้มงวด ซึ่งครอบคลุมในหลายมิติเพื่อให้มั่นใจว่า ประเทศนั้น ๆ จะสามารถจัดการประชุมระดับโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกณฑ์ดังกล่าวประกอบด้วย การมีห้องประชุมที่สามารถรองรับผู้เข้าร่วมประชุมมากกว่า 3,500 คน การมีโรงแรมที่สามารถรองรับผู้เข้าพักอย่างน้อย 4,000 ห้อง การมีแผนจัดการการเดินทางที่มีประสิทธิภาพสำหรับผู้เข้าร่วมประชุมมากกว่า 12,000 คน การอำนวยความสะดวกในการตรวจคนเข้าเมืองและสนามบินนานาชาติที่รองรับเที่ยวบินจากทุกมุมโลก และการจัดการด้านอื่น ๆ ที่มีประสิทธิภาพ เช่น อาหารเครื่องดื่ม การต้อนรับ การรักษาความปลอดภัย การจัดการกรณีฉุกเฉิน
ไทยเคยเป็นเจ้าภาพครั้งแรกเมื่อ 34 ปีก่อน
ธนาคารโลกมีสมาชิก 189 ประเทศ ขณะที่ IMF มีสมาชิก 190 ประเทศ แต่มีเพียง 3 ประเทศที่ได้รับเกียรติให้จัดการประชุมประจำปีถึง 2 ครั้ง ประกอบด้วย ญี่ปุ่น ทูร์เคียหรือตุรกี และไทย
ประเทศไทยเคยเป็นเจ้าภาพครั้งแรกในปี 2534 เป็นการประชุมประจำปีครั้งที่ 46 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิต์ ซึ่งสร้างขึ้นตามมติของคณะรัฐมนตรีในปี 2532 เพื่อรองรับการประชุมระดับโลกดังกล่าว ศูนย์ประชุมแห่งนี้ได้รับเกียรติให้เป็นสถานที่จัดการประชุมระดับโลกนี้อีกครั้งในวันที่ 12-18 ตุลาคม 2569 ซึ่งจะเป็นการประชุมประจำปีครั้งที่ 81 ของ IMF และธนาคารโลก
การเตรียมพร้อมสู่การรายงานข่าวระดับโลก
ในขณะที่หน่วยงานต่าง ๆ ในไทยที่เกี่ยวข้องกับการประชุมกำลังช่วยกันประชาสัมพันธ์ให้ทุกภาคส่วนได้ทราบถึงการประชุมครั้งสำคัญที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทย IMF ได้ร่วมกับรอยเตอร์ ซึ่งเป็นองค์กรสื่อระดับโลก จัดการอบรมผู้สื่อข่าวในหลายประเทศรวมทั้งไทย ให้มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการทำงานของเสาหลักเศรษฐกิจโลกทั้ง 2 แห่งนี้
โดยในปีนี้ ผู้สื่อข่าวของฝ่ายข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวไทย อสมทได้รับโอกาสให้เข้าร่วมในการฝึกอบรมสัมมนาที่กรุงนิวเดลีของอินเดียระหว่างวันที่ 1-3 เมษายน 2568 และการฝึกอบรมสัมมนาที่กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 22-24 กรกฎาคม 2568 นับเป็นการปูทางที่สำคัญยิ่งสำหรับผู้สื่อข่าวไทยในการเตรียมพร้อมสำหรับการรายงานข่าวการประชุมในฐานะประเทศเจ้าภาพ
เนื้อหาในการอบรมเป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับบทบาทและโครงสร้างของ IMF รวมถึงความท้าทายเฉพาะของการรายงานข่าวเศรษฐกิจที่ซับซ้อน ผู้เข้าร่วมอบรมยังได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการเข้าถึงแหล่งข้อมูลทางการของ IMF ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือ นอกจากนี้การเรียนรู้ตัวย่อและศัพท์เฉพาะทางด้านเศรษฐกิจและการเงินยังช่วยเพิ่มพูนความเชี่ยวชาญทำให้สามารถสื่อสารได้อย่างถูกต้องและเข้าใจง่าย ความรู้และทักษะที่ได้รับจากการอบรมนี้จะช่วยให้การปฏิบัติหน้าที่รายงานข่าวการประชุมระดับโลกได้อย่างมีคุณภาพและเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะชนต่อไป
Final Thoughts: เวทีแสดงศักยภาพและความภาคภูมิใจ
นับเป็นโอกาสสำคัญที่ไทยจะได้ต้อนรับผู้ว่าการธนาคารกลาง, รัฐมนตรีคลัง, ผู้บริการสถาบันการเงินระดับโลก นักวิชาการ และสื่อมวลชนจากทั่วโลก การประชุมระดับโลกนี้ไม่เพียงแต่เป็นเวทีหารือประเด็นเศรษฐกิจและการเงินที่สำคัญที่สุดในโลกเท่านั้น แต่ยังเป็นหน้าต่างบานใหญ่ที่ประเทศไทยจะได้แสดงศักยภาพในฐานะศูนย์กลางการจัดประชุมนานาชาติ รวมถึงเผยแพร่ความงดงามทางวัฒนธรรม แหล่งท่องเที่ยว และโอกาสทางการค้าการลงทุนสู่สายตาประชาคมโลก การเป็นเจ้าภาพครั้งนี้จะช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศและส่งเสริมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในหลายมิติ.-814,819.-สำนักข่าวไทย