นิวยอร์ก 17 พ.ค.- ครอบครัวผู้ถูกฮามาสลักพาตัวเป็นตัวประกันในกาซาเล่าความรู้สึกและผลกระทบทางจิตใจให้แก่ที่ประชุมอย่างไม่เป็นทางการของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติหรือยูเอ็นเอสซี (UNSC) ที่จัดขึ้นโดยสหรัฐ
สตรีอิสราเอลวัย 68 ปีเล่าว่า เธอ บุตรสาวและหลาน 2 คนถูกจับเป็นตัวประกันนาน 50 วัน และหลังจากที่กลับบ้านแล้ว 3 สัปดาห์ หลานสาววัย 3 ขวบกลายเป็นคนขี้กลัว ไม่กล้าพูดออกเสียง ได้แต่พูดกระซิบ ไม่กล้าออกจากบ้าน ไม่กล้าพบเจอผู้คน ฝันร้ายและปัสสาวะรดที่นอน เพราะกลัวว่าอาจจะถูกจับไปอีก การก่อการร้ายในรูปแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ด้วยการลักพาตัวหมู่ทั้งพลเรือนไร้อาวุธ เด็ก สตรี และคนชรา จึงไม่ควรถูกปล่อยปละให้กลายเป็นเรื่องปกติ เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นกับอิสราเอลในวันนี้อาจกลายเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกในอนาคตอันใกล้
นางลินดา โทมัส-กรีนฟิลด์ เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำยูเอ็นกล่าวต่อที่ประชุมว่า ยูเอ็นเอสซีได้ออกมติ 3 ฉบับเรียกร้องให้ปล่อยตัวทั้งหมดทันทีและไม่มีเงื่อนไข แต่ฮามาสและกลุ่มก่อการร้ายอื่น ๆ ยังคงไม่ยอมหยุด ดังนั้นขอให้ทุกคนร่วมกันเรียกร้องอีกครั้งให้ฮามาสปล่อยตัวประกันที่เหลืออยู่ทั้งหมด เพื่อรักษาชีวิตของทุกฝ่าย
ขณะที่นายอาเหม็ด ซาห์ราวี เอกอัครราชทูตแอลจีเรียประจำยูเอ็นกล่าวว่า เครื่องจักรสังหารที่ป่าเถื่อนของกองกำลังยึดครองอิสราเอลได้ทำลายกาซาโดยอ้างว่าต้องการสร้างหลักประกันว่าจะมีการปล่อยตัวประกัน เขาย้ำว่า ประเด็นการจับตัวประกันเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง และวิจารณ์อิสราเอลที่กักขังชาวปาเลสไตน์
ด้านนายกิลาด เออร์ดัน เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำยูเอ็นกล่าวว่า ตัวประกัน 132 คนยังคงอยู่ในกาซานับตั้งแต่ถูกลักพาตัวไปตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2566 พร้อมกับตั้งคำถามต่อยูเอ็นเอสซีว่า ได้ดำเนินการใด ๆ กับฮามาสหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นการประณามและเรียกร้องให้ฮามาสอนุญาตให้กาชาดเข้าไปตรวจสอบสภาพความเป็นอยู่ของตัวประกัน หรือการใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อฮามาสจนกว่าจะปล่อยตัวประกัน.-814.-สำนักข่าวไทย