นายกฯ เชื่อ รมต.แจงศึกซักฟอกได้

ทำเนียบรัฐบาล 18 ก.ค.- นายกฯ เชื่อ รมต.ชี้แจงศึกซักฟอกได้ ไม่กังวลแรงกระเพื่อมจากพรรคเล็ก เผยไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น รับได้ทุกเรื่อง ปัดตอบตั้งพรรคสำรอง


พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งเลื่อนจากวันอังคาร เนื่องจากจะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ตั้งแต่วันที่ 19-22 ก.ค.นี้ ทำให้การประชุมวันนี้มีวาระการพิจารณา 4 เรื่อง ใช้เวลาการประชุมไม่ถึง 2 ชั่วโมง โดยนายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ระบุว่า เป็นเพราะวาระต่าง ๆ ที่จะนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้มีน้อย เนื่องจากเตรียมการไม่ทัน เพราะเป็นการเลื่อนการประชุมจากวันอังคารมาเป็นวันจันทร์ ทำให้มีวาระไม่มากและเสร็จสิ้นการประชุมเร็ว

ทั้งนี้ ก่อนการประชุม ครม. นายกรัฐมนตรีได้เชิญพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าและเลขาธิการการพรรคร่วมรัฐบาล เข้าหารือที่ห้องสีเหลือง ตึกสันติไมตรี ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี ยังได้กล่าวระหว่างการประชุม ครม. โดยขอให้รัฐมนตรีที่ถูกอภิปราย เตรียมข้อมูลชี้แจงต่อฝ่ายค้านอย่างชัดเจน ขอบคุณทุกคนที่ร่วมงานกันมาจนเข้าสู่ปีที่ 4 และส่วนตัวพอใจกับการทำงานของทุกคน
ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า ได้หารือกับพรรคร่วมรัฐบาล ทั้งหัวหน้าพรรคและเลขาพรรค รวมถึงในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี โดยตนขอให้เตรียมข้อมูลต่าง ๆ ให้เกิดความชัดเจน และให้สามารถชี้แจงได้ ซึ่งตนเชื่อมั่นว่าทุกคนจะสามารถชี้แจงและตอบคำถามได้ ในทุกประเด็นที่มีความสำคัญและเป็นข้อเท็จจริง


ส่วนมีความกังวลแรงกระเพื่อมจากพรรคเล็กหรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนทำงานด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์ และเชื่อมั่นว่า ทุกคนก็ทำงานมาเพื่อเป้าหมายคือประชาชนและประเทศชาติ ดังนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ตนก็รับได้ทุกเรื่อง

เมื่อถามว่า พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้ให้ความมั่นใจในการอภิปรายครั้งนี้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยังไม่จำเป็นต้องมาให้ความมั่นใจกับตนในตอนนี้ เพราะตนมั่นใจพลเอกประวิตรมาตลอดชีวิตที่ผ่านมา และต่างคนต่างไว้ใจซึ่งกันและกัน สิ่งใดที่เป็นปัญหา ก็นำมาหารือและแก้ไขปัญหารวมกัน ยืนยันทั้งตนและพลเอกประวิตรไม่เคยมีปัญหากัน

นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า การชี้แจงในการอภิปรายครั้งนี้จะพูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์และเป็นข้อเท็จจริง ไม่บิดเบือน ไม่ทำให้เกิดความเสียหายต่อการบริหารราชการแผ่นดิน และต้องไม่เป็นปัญหาให้กับประเทศชาติ โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งการอภิปรายในครั้งนี้ต้องระมัดระวังอย่างที่สุด เพราะบ้านเมืองอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติจากสถานการณ์โลกในปัจจุบัน ดังนั้น ความไว้วางใจจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ทั้งการลงทุน การค้า และเศรษฐกิจมีความเกี่ยวเนื่องกันทั้งหมด จึงขอให้ดูสถานการณ์ในต่างประเทศ ทั้งในอาเซียนและภูมิภาคอื่น ๆ ที่ทุกประเทศก็มีปัญหาเหมือนกันหมด ซึ่งไทยในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของประชาคมโลกก็ต้องนำมาพิจารณาด้วยว่า อะไรควรทำหรือไม่ควรทำ อะไรทำได้และทำไม่ได้ เพราะทุกอย่างต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ซึ่งหลายอย่างอาจเกิดการตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดจึงไม่มีการดำเนินการ เพราะต้องดูหลายปัจจัยประกอบว่า เมื่อทำแล้วจะเกิดผลกระทบ ต่อสิ่งอื่น ๆ หรือไม่ ซึ่งรัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหาทุกอย่าง


“ผมไม่อาจจะกล่าวได้ว่า ผมทำได้ดีที่สุด หรือดีกว่าใคร ผมขอไม่พูด แต่ก็พยายามทำให้มากที่สุด และให้ดีที่สุด ด้วยความร่วมมือร่วมใจของทุกคน ประเทศชาติสำคัญกว่าอย่างอื่น” พลเอกประยุทธ์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามถึงเรื่องการตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งถูกมองว่าพรรคสำรอง โดยนายกรัฐมนตรีได้ส่ายหัว ไม่ตอบคำถาม และเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้าทันที

ทั้งนี้ ก่อนการแถลงข่าว นายกรัฐมนตรีและพลเอกประวิตรได้เดินออกจากตึกสันติไมตรีมาไล่เลี่ยกัน โดยนายกรัฐมนตรี ได้ไหว้พลเอกประวิตร จากนั้น ทั้งคู่ได้ตบไหล่กันเบา ๆ ก่อนที่พลเอกประวิตรจะขึ้นรถ

เมื่อผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรีแล้ว รัฐมนตรีหลายคน ที่มีชื่อถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ได้จับกลุ่มรวมตัวพูดคุยกับนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมายของรัฐบาล อาทิ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง รวมถึงนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมวงด้วยในช่วงแรก

ขณะที่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดห้องสีเหลืองที่อยู่ติดกับห้องประชุมคณะรัฐมนตรีพูดคุยกัน โดยในช่วงหนึ่งพลเอกประยุทธ์ ได้เดินผ่านกลุ่มรัฐมนตรี ที่จับวงร่วมพูดคุยกันอยู่ ก่อนจะเดินทางเข้าที่ห้องสีเหลือง ได้แวะทักทายพูดคุยเล็กน้อย นายสุชาติได้ยกมือไหว้ จากนั้นพลเอกประยุทธ์ได้เดินฝ่าวงสนทนา และหันกลับมองกลุ่มรัฐมนตรีดังกล่าว พร้อมได้ยกนิ้วโป้ง ซึ่งคาดว่าจะเป็นการให้กำลังใจกลุ่มรัฐมนตรี ในขณะที่กลุ่มรัฐมนตรียังคงยืนจับกลุ่มพูดคุยปรึกษากับนายวิษณุยาวนานกว่า 1 ชั่วโมง.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง