3 มิ.ย. – ตำรวจเตรียมนำตัวนายไชย์พล วิภา หรือลุงพล ผู้ต้องหาคดีพัวพันการเสียชีวิตปริศนาของน้องชมพู่ วัย 3 ขวบ ที่บ้านกกกอด จ.มุกดาหาร ฝากขังพรุ่งนี้ พร้อมคัดค้านการประกันตัว ด้านทนายษิทรา มั่นใจมีหลักฐานพร้อมสู้ทุกข้อหา ชี้ DNA ที่ตำรวจอ้างเป็นหลักฐานในการยื่นขอหมายจับ ทำสังคมเข้าใจผิด เพราะข้อเท็จจริงเป็น DNA ของป้าเเต๋น
นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ทนายความลุงพล ผู้ต้องหาตามหมายจับในคดีน้องชมพู่ เดินทางมาเยี่ยมลุงพลที่ถูกควบคุมตัวไว้ในห้องควบคุมผู้ต้องขัง สภ.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ตั้งแต่ค่ำวานนี้ และเปิดเผยถึงแนวทางการต่อสู่คดีว่า วันนี้ครอบครัวได้เตรียมเงินสด หลักล้านบาทไว้พร้อมในการยื่นประตัวลุงพลในชั้นสอบสวน แต่พนักงานสอบสวนไม่อนุญาตให้ประกันตัว ดังนั้นจะยื่นประกันตัวอีกครั้งที่ศาลจังหวัดมุกดาหาร ในวันพรุ่งนี้ (4 มิ.ย.) โดยใช้หลักทรัพย์โฉนดที่ดิน มูลค่า 1.7 ล้านบาท ซึ่งลุงพลยังให้การปฏิเสธทุกข้อหา
ส่วนกรณีที่แม่น้องชมพู่ ยื่นคัดค้านการประกันตัวลุงพล โดยให้เหตุผลต่างๆ นานา ยืนยันว่าลุงพลไม่ได้มีพฤติการณ์หลบหนี หรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน มั่นใจในการต่อสู้คดี และข้อกล่าวหาทั้งหมด มีพยานเห็นหรือไม่ว่าลุงพลได้เป็นผู้กระทำตามที่กล่าวหา ฝากถึง ผบ.ตร. เรื่องการไม่รับมอบตัวที่กรุงเทพฯ และต้องไปที่ สภ.กกตูม ว่า เมื่อหมายจับใช้ได้ทั่วราชอาณาจักร ผบ.ตร.เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนทั่วประเทศ การบอกว่าไม่มีอำนาจในการรับมอบตัว ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดทั้งประเทศ และเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และยืนยันหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ เเละ DNA ที่ตำรวจอ้างว่าเป็นหลักฐานในการยื่นขอหมายจับต่อศาล ทำให้สังคมเข้าใจผิด มีคนตีความหมายว่าเป็น DNA ของลุงพล ข้อเท็จจริงเป็น DNA ของป้าเเต๋น ซึ่งทางตำรวจควรที่จะพูดให้ชัด
ทนายษิทรา จ่อยื่นเรื่องให้ “สิระ” ตรวจสอบหมายจับ “ลุงพล”
นอกจากนี้ ทนายษิทรา ขอให้นายสิระ เจนจาคะ ประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของชุดทำคดีนายไชย์พล ที่ไม่ถูกต้องในหลายๆ เรื่อง หลังนายสิระติดต่อมาขอข้อมูล โดยได้นัดหมายกันในวันอังคารหน้า และขอการเชิญผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเข้าชี้แจงด้วย โดยเฉพาะการจับกุมนายไชย์พล และกรณีที่นายไชย์พล เข้ามอบตัวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมทั้งการขออำนาจศาลออกหมายจับที่ไม่ตรงตามข้อเท็จจริง โดยจะยกกรณีนี้ให้เป็นกรณีตัวอย่างเคสแรกในประเทศไทย
“ป้าแต๋น” เตรียมหลักทรัพย์ ยื่นประกัน “ลุงพล” พรุ่งนี้
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ตั้งแต่ตอนเช้า ตำรวจได้คุมตัวนายไชย์พล ออกมาจากห้องควบคุมตัว สภ.กกตูม เพื่อพิมพ์ลายนิ้วมือตามขั้นตอนบันทึกการจับกุมในสำนวนคดี โดยลุงพลเปลี่ยนมาเป็นสวมเสื้อโปโลสีเหลืองที่นางสมพร หลาบโพธิ์ หรือ ป้าแต๋น ภรรยา นำมาให้ พร้อมข้าวกะเพราทะเล รวมถึงยาสีฟันแปรงสีฟัน และบอกว่าลุงพลไม่เครียด หลับนอนได้ปกติ และได้เตรียมหลักทรัพย์โฉนดที่ดิน มูลค่า 1.7 ล้านบาท ให้ทนายความเพื่อยื่นประกันตัวลุงพล
สำหรับลุงพล ถูกแจ้งดำเนินคดีรวม 3 ข้อหา คือ พรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันควร, ทอดทิ้งเด็กอายุไม่เกิน 9 ปี เพื่อให้เด็กนั้น พ้นไปเสียจากตนโดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากดูแล เป็นเหตุให้เด็กถึงแก่ความตาย และกระทำการใดๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพผู้ก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งตำรวจจะควบคุมตัวไปส่งศาลจังหวัดมุกดาหารวันพรุ่งนี้ พร้อมคัดค้านการประกันตัว
“ลุงพล” มีหมายจับ หาก ตร.ไม่จับถือว่า ผิด ม.157
ด้าน พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (โฆษก ตร.) ชี้แจงว่า การที่ผู้ต้องหาเข้ามอบตัวหรือการจับกุมตัวไม่ได้มีผลในทางกฎหมาย เนื่องจากผู้ต้องหาถูกออกหมายจับ จะมอบตัวหรือจับกุมตัว ก็ต้องถูกแจ้งข้อกล่าวหา และมีสภาพเป็นผู้ต้องหาอยู่แล้ว แต่การมอบตัว ฝ่ายผู้ต้องหาหรือผู้เกี่ยวข้องอาจยกขึ้นเป็นเหตุผลในการขอปล่อยตัวชั่วคราว โดยมีเหตุผลในเรื่องการไม่มีพฤติกรรมหลบหนี แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับดุลพินิจของพนักงานสอบสวน หรือของศาลแล้วแต่กรณี อย่างไรก็ตาม ตำรวจที่จับกุมนายไชย์พลที่ห้องโถง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถือว่ามีอำนาจและหน้าที่ในการจับกุมตามหมายอยู่แล้ว เพราะหากพบเห็นนายไชย์พล ปรากฏตัวต่อหน้า แล้วไม่ดำเนินการจับกุม อาจเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
ตร.ปัดจัด ฮ.วีไอพี ส่ง “ลุงพล” ไป สภ.กกตูม
ส่วนกรณีที่สังคมวิพากษ์วิจารณ์ เหตุใดผู้ต้องหาในคดีร้ายแรงเกี่ยวกับการเสียชีวิตของเด็กหญิงวัย 3 ขวบ จึงได้รับเกียรติให้นั่งเฮลิคอปเตอร์ที่หรูหราทันสมัยที่สุดลำหนึ่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติบอกว่าการดำเนินการทั้งหมดเป็นไปตามระเบียบการใช้อากาศยานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
การเลือกใช้เฮลิคอปเตอร์ลำใด จะขึ้นอยู่กับจำนวนผู้โดยสารและระยะทางมาประกอบกัน ซึ่งเฮลิคอปเตอร์ที่ปรากฏในข่าว เป็นเครื่องประจำการที่ใช้ในกิจการหลักของ ตร.อยู่แล้ว ไม่ใช่ ฮ.พิเศษวีไอพี ขอยืนยันว่าตำรวจไม่ได้ให้สิทธิพิเศษกับผู้ต้องหาคนใดคนหนึ่งอย่างที่ปรากฏในสื่อแต่อย่างใด. – สำนักข่าวไทย