ยธ.4 ก.ย.-รมว.ยุติธรรม ยันไม่เคยหละหลวมมาตรการโควิดในเรือนจำ กรณีที่พบเป็นผู้ต้องขังใหม่ มีห้องกักโรคหาเชื้อก่อนเข้าแดน 14 วัน กำชับเพิ่มความเข้มงวด แต่ยังไม่ห้ามการเข้าเยี่ยมญาติ
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในเรือนจำ ว่า การตรวจพบเชื้อโควิด -19 เป็นการตรวจพบในนักโทษใหม่ ที่เป็นดีเจ ในแดนแรกรับก่อนเข้าสู่แดนปกติ ที่เรือนจำทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง โดยถูกจับกุมในคดียาเสพติด ตั้งแต่วันที่ 26 ส.ค.63 ซึ่งได้รับการกักกันตัวในห้องแยกตามนโยบายกรมราชทัณฑ์ โดยกักรวมกับผู้ต้องขังอีก 32 คน ซึ่งล่าสุดได้มีการประสานกับกรมราชทัณฑ์ ย้ายผู้ติดเชื้อจากเรือนจำไปโรงพยาบาลราชทัณฑ์แล้ว และมีการกักกันผู้ต้องขัง ที่อยู่ในหอนอนเดียวกันต่อเนื่องจนครบ 14 วัน จากนั้นจะตรวจหาเชื้ออีกครั้งหนึ่ง
เมื่อถามว่า มีคนมองว่าการตรวจพบเชื้อในครั้งนี้เกิดจากการหละหลวม ในการควบคุมเชื้อ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เราไม่ได้หละหลวม การตรวจพบเชื้อครั้งนี้ไม่ได้เป็นการตรวจพบเชื้อของนักโทษในเรือนจำ แต่เป็นการตรวจพบเชื้อในนักโทษใหม่ที่เพิ่งเข้ามา ซึ่งเรามีมาตรการในการรับนักโทษใหม่อยู่แล้ว ที่จะต้องกักตัวในแดนแรกรับก่อน 14 วันเพื่อหาเชื้อ หากพบเราจะทำการแยกตัวทันที ซึ่งกรณีนี้เขาเป็นดีเจที่ทำงานในร้านอาหารหลายแห่ง ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุขจะต้องสืบหาที่มาของเชื้อต่อไป ทั้งนี้กรมราชทัณฑ์ ยังมีมาตรการเข้มงวดในการควบคุมโควิดในเรือนจำ โดยเฉพาะแดนแรกรับที่จะต้องมีการคัดกรองอย่างเข้มงวด
“ที่ผ่านมาในเรือนจำไม่เคยมีเชื้อโควิดเพราะผมใส่ใจอยู่เสมอ ผมคิดว่าหากเชื้อโควิดแพร่ระบาดเข้าสู่เรือนจำ จะควบคุมได้ยากและเกิดความเสียหายเป็นอย่างมาก ตลอดระยะเวลาเกิดโควิด ผมได้มอบนโยบายสร้างห้องกักโรค ตั้งแต่เดือน เม.ย. ซึ่งมีทุกเรือนจำ ดังนั้นในกรณีนี้ดีเจที่เข้ามา ยังอยู่ในห้องกักโรค ยังไม่ได้เข้าสู่แดนผู้ต้องขัง จึงยังไม่มีการแพร่ระบาดสู่ผู้ต้องขังในเรือนจำแต่อย่างใด ที่ผ่านมาเราไม่ได้หย่อนยานในการตรวจโรค แม้แต่ผู้ต้องหาที่ออกไปขึ้นศาล เมื่อกลับเข้ามาก็ต้องมีการเข้าห้องกักโรคด้วยเช่นกัน” นายสมศักดิ์ กล่าว
เมื่อถามว่าจะต้องมีมาตรการควบคุมอย่างเข้มงวดอย่างไรต่อจากนี้หรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า คงต้องมีมาตรการที่เข้มงวดกว่าเดิม เพราะก่อนหน้านี้ที่สถานการณ์ในประเทศไทยปลอดผู้ติดเชื้อมากว่า 100 วัน เราก็ได้มีการผ่อนคลายไปบ้าง แต่เมื่อพบเหตุการณ์เช่นนี้เราคงต้องเพิ่มความเข้มงวดให้มากขึ้นจากเดิม 60-70% เป็น 80-90% ส่วนการเข้าเยี่ยมญาตินั้น ก็คงต้องมีการคัดกรองที่เข้มงวดกว่าเดิมด้วยเช่นกัน แต่ไม่ได้มีการห้ามเยี่ยม เพื่อป้องกันญาติที่เข้าเยี่ยมนำเชื้อมาแพร่สู่ผู้ต้องขังด้วย .-สำนักข่าวไทย