นายกฯ ขึ้นเวทีปาฐกถา “เชื่อมั่นประเทศไทย” ตั้งเป้าดัน GDP ปี 68 โต 3%

ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ 19 ก.พ.-นายกฯ ขึ้นเวทีปาฐกถา “เชื่อมั่นประเทศไทย” ตั้งเป้าดัน GDP ปี 68 โต 3% แจงสาเหตุตัวเลขไทยต่ำกว่าเพื่อนบ้านอาเซียน ต้องดูปัจจัยภายใน-นอกประกอบ ชี้เศรษฐกิจฝืดเคือง ธนาคารพาณิชย์ไม่ปล่อยเงินกู้ให้ SME ขาดสภาพคล่อง พร้อมส่งสัญญาณ “แบงก์ชาติ” ลดดอกเบี้ย ย้ำเดินหน้า “แลนด์บริดจ์” บอกไม่แปลกมีคนต้าน

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “เชื่อมั่นประเทศไทย” ในงานสัมมนา Matichon Leadership Forum 2025 Trust Thailand : เชื่อมั่นประเทศไทย ว่า ตลอดปีที่ผ่านมาประเทศไทยเผชิญกับปัญหาความท้าทายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจที่ไม่ดีนัก เงินในระบบที่ไม่พอ เงินยังมีความฝืดเคืองอยู่มาก แต่ด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วนทำให้เราได้เห็นสัญญาณอันดี คือปลายปีที่แล้วเรามีตัวเลขจีดีพี ปี 67 ขยายตัว 2.5% จากที่ตั้งเป้า 2.2% ซึ่งเห็นได้ว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ให้ประชาชนใช้จ่าย ส่งผลให้การบริโภคภายในประเทศเพิ่มขึ้นที่เห็นได้ชัดชัดเจนก็คือตัวเลขของนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้นเป็นประวัติการณ์ถือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากหลายภาคส่วนรวมกันทั้งเรื่องฟรีวีซ่า เพื่อให้การท่องเที่ยวง่ายขึ้น และยังสร้างความเชื่อมั่นว่าเมื่อเข้ามาในประเทศไทยแล้วมีความปลอดภัยทำให้สามารถดึงดูดเงินจากทั่วโลกได้มากขึ้น


สำหรับปี 2568 ตั้งเป้าให้จีดีพีโตขึ้น 3% ที่สำคัญการลงทุนของภาคเอกชนที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงการใช้จ่ายของประชาชนที่มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น ภาครัฐเองมีส่วนในการผลักดันในการใช้งบลงทุนให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยตนเองได้เรียกทุกภาคส่วนมาพูดคุยกันว่างบต่างๆที่เราได้ต้องเร่งให้เกิดการลงทุนให้เร็วที่สุด เช่น การก่อสร้างต่างๆ ทำให้เกิดการจ้างงานเงินในระบบหมุนเวียนมากขึ้น และทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียน ดังนั้นจึงต้องเร่งให้เกิดการลงทุนของภาครัฐ

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า ตัวเลขจีดีพีที่ออกมา ถูกเอาไปเปรียบเทียบกับประเทศอาเซียนจะเห็นได้ว่าตัวเลขต่ำกว่าประเทศอื่น ซึ่งยังไม่ได้เอาปัจจัยภายใน และภายนอกของประเทศมาประกอบถือว่ายังไม่ครบถ้วน ที่เห็นได้ชัดเจน คือเรื่องอุตสาหกรรมของประเทศไทยที่ไม่เห็นการพัฒนามานานแล้ว ทั้งที่ประเทศเพื่อนบ้านมีการพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะประเทศมาเลเซีย มีการลงทุนเรื่องเซมิคอนดอกเตอร์ แต่ประเทศไทยไม่ได้ดำเนินการในเรื่องนี้มาเป็น 10 ปีแล้ว ส่วนเวียดนาม มีการพัฒนาทักษะของคน เช่น การเขียนซอฟต์แวร์ต่างๆ แต่ไทยยังไม่ได้พัฒนาเรื่องนี้อย่างเป็นระบบ อีกทั้งสภาพคล่องด้านเศรษฐกิจก็ยังไม่เต็มระบบ โดยธนาคารพาณิชย์ยังปล่อยกู้ไม่มากพอ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยงทำให้เกิดการฝืดเคืองของเศรษฐกิจ อย่างกลุ่มเอสเอ็มอี ที่เป็นกลุ่มใหญ่ของประเทศถึง 75% ไม่สามารถกู้เงินเพื่อมาขยายธุรกิจ จึงขยายตัวได้ไม่มากนัก จึงขอความร่วมมือทุกภาคส่วน


ด้านภาครัฐมีงบประมาณไม่เพียงพอ รายได้ถูกใช้ไปในเรื่องของงบประจำเป็นส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้นการเหลืองบประมาณที่จะนำมาลงทุนในประเทศให้เกิดการพัฒนาก็เหลือน้อยเต็มที โดยตั้งแต่ตนเข้ามาทำหน้าที่ก็พยามจะบอกทุกคนให้รัดเข็มขัด แต่ก็ต้องทำการลงทุนควบคู่กันไปด้วย ดังนั้นต้องทำให้เม็ดเงินเกิดประสิทธิภาพสูงสุดต้องบาลานซ์ให้ดีไม่อย่างนั้นจะเกิดปัญหาในอนาคต และเมื่องบประมาณมีจำกัดก็จะส่งผลกับเรื่องของการลงทุน แม้แต่เงินกู้ก็ชนเพดาน ซึ่งเป็นเวลาที่รัฐบาลนี้เข้ามาบริหารก็เจอปัญหานี้แล้ว แน่นอนว่าเราพยายามหาทางออกเพื่อที่จะทำให้เงินลงทุนทุกบาททุกสตางค์ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ยังมีการทำการตลาดที่เป็นจุดแข็งของประเทศไทยในการดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศเมื่อการลงทุนจากต่างชาติ หรือเม็ดเงินจากต่างประเทศไม่เข้ามา การขยับของจีดีพีก็จะเป็นไปได้ยาก เราก็ทราบดีปัญหาเหล่านี้ต้องใช้เวลาในการแก้ไข จะเห็นได้ว่าตั้งแต่รัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน มีการดึงเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้ามา นี่เป็นสิ่งที่รัฐบาลทำได้ร่วมกับบีโอไอ ซึ่งต้องทำให้เกิดความเชื่อมั่น และทำให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามามากยิ่งขึ้น โดยได้เสนอเรื่องของการทำการตลาดดึงนักลงทุนต่างชาติ ทำให้ยอดการลงทุนเพิ่มขึ้น 35% หรือ 1.14 ล้านล้านบาท คิดเป็น 5% ของจีดีพี และเร่งให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบ เป็นสิ่งที่ขยับและเห็นผล ทั้งนี้ยังมีมาตรการอีกมากมายทั้งสินเชื่อเอสเอ็มอีดึงอุตสาหกรรมใหม่เข้าประเทศ ดาต้าเซ็นเตอร์ เซมิคอนด็อกเตอร์ เพราะอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูงขนาดนี้จะสามารถเติมเงินครั้งใหญ่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศได้ นอกจากการเติมเงินแล้ว ยังช่วยเรื่องของกำลังซื้อของประชาชนด้วย อีกสิ่งที่รัฐบาลเห็นถึงความสำคัญคือการ Man-make Destination หรือ การสร้างสถานที่ใหม่ใหม่เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง และทำให้ทุกเดือนของประเทศไทยมีกิจกรรมสามารถท่องเที่ยวได้ไม่ใช่เฉพาะช่วงวันสำคัญ อย่างวันสงกรานต์หรือวันสำคัญอื่นๆ ต้องทำให้มีช่วงโลซีซั่น ซึ่งจะทำให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบ

นายกรัฐมนตรี ยังระบุว่า หากมีการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบก็จะสามารถยกระดับเศรษฐกิจของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต โดยมาตรการเร่งด่วนรัฐบาลได้พูดคุยและขอความร่วมมือกับธนาคารพาณิชย์ที่มีกำไร ให้ช่วยเสริมสภาพคล่อง โดยการปล่อยกู้ให้กับคนไทยให้มีแคชโฟร์(กระแสเงินสด) ในการที่จะนำเงินมาหมุนเวียนในอุตสาหกรรม ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย พิจารณาลดดอกเบี้ย เพื่อลดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน และเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ เพราะเงินเฟ้อยังน้อยอยู่


ทั้งนี้รัฐบาลให้ความสำคัญกับการลงทุนอุตสาหกรรมในอนาคตที่ประเทศไทยมองเป้าหมาย เรื่องยานยนต์ไฟฟ้า รถอีวีอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิตอล ปัญญาประดิษฐ์ ai และเซมิคอนด็อกเตอร์ ซึ่งจะเป็นรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัลต่อไป เราพยายามที่จะวางตัวให้เป็นHUB ของภูมิภาค ให้คนที่จะผลิตรถอีวีเข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทย และขณะนี้มีหลายโรงงานที่เข้ามาตั้งอยู่ในประเทศไทย การทำเช่นนี้ก็จะต้องดูเรื่องของ Green energy ประกอบด้วย จะเป็นการทำให้ทั่วโลกได้เล็งเห็นว่ากำลังจะก้าวต่อไปสำหรับโลกในอนาคต เป็นสิ่งที่รัฐบาลทราบและทำควบคู่กันอย่างเป็นระบบ

ในปี 2567 ไทยได้รับการลงทุนของสถาบันดิจิตอลสูงเป็นอันดับหนึ่ง เรื่องของดาต้าเซ็นเตอร์และ could จากสหรัฐอเมริกา จีน อินเดีย ฮ่องกง ญี่ปุ่นและออสเตรเลีย รวมเงินลงทุนกว่า 2 แสนล้านบาท ล่าสุดบีโอไอ อนุมัติการลงทุนของ TikTok วีเอ็นมีเดีย count พาร์ทเนอร์กว่า 1.3 แสนล้านบาท ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีที่เราได้มีบริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลกเข้ามาลงทุนกับประเทศไทย ทำให้เกิดความเชื่อมั่นส่งผลให้การลงทุนต่างๆเป็นไปด้วยความราบรื่นมากขึ้น

ด้านโครงสร้างพื้นฐาน เส้นทางรถไฟ ความเร็วสูง ไทย-ลาว- จีน เชื่อมโยงกรุงเทพฯ-หนองคาย หากดำเนินการได้จะการลดค่าใช้จ่ายเรื่องการขนส่งเป็นอย่างมาก เป็นโอกาสที่จะทำให้เกิดการกระตุ้นการลงทุนและทำกำไรมากยิ่งขึ้น รวมถึงทำให้การเดินทางเข้ามาในประเทศเพิ่มมากขึ้น เกิดการจ้างงานที่เพิ่มมากขึ้นมีอาชีพใหม่ใหม่เกิดขึ้น ส่งผลให้ประชาชนมีรายได้ และเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ให้กับครอบครัว

นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่ารัฐบาลจะเดินหน้าผลักดันเรื่องของแลนด์บริดจ์ ซึ่งจากการเดินทางเยือนจีนก็ได้มีการสอบถามและขอข้อมูลเพิ่มเติมจากไทยถือเป็นนิมิตหมายอันดีที่จีนให้ความสนใจเรื่องนี้ ถือเป็นสิ่งที่เราต้องทำงาน ซึ่งหากแลนด์บริดจ์เกิดขึ้นการขนส่งสินค้าจะประหยัดได้เยอะมาก เช่น การขนส่งสินค้าผลไม้มีเวลาเสียจะทำให้สามารถประหยัดเวลาการขนส่งได้ถึง4วัน เราจะสามารถส่งผลไม้ได้มากขึ้นสดใหม่มากขึ้น และสามารถประหยัดต้นทุนได้ถึง 15% เพราะเราส่งออกผลไม้เยอะมาก อย่างประธานาธิบดีสี จิ้นผิงชอบทุเรียนของไทย และมีคนจีนอีกมากที่เป็นแฟนผลไม้ของไทย

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า เมื่อวานนี้(18 ก.พ.) ได้ประชุมครม. ที่สงขลา มีการสอบถามว่าเราจะดำเนินการเรื่องแลนด์บริดจ์อย่างไร เนื่องจากมีผู้มาต่อต้าน ซึ่งซึ่งมองว่าเรื่องนี้ไม่แปลก เมื่อประเทศของเราจะมีการเปลี่ยนแน่นอนว่าต้องมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ซึ่งเป็นไปตามปกติของระบบประชาธิปไตย โดยรัฐบาลได้ตระหนักถึงเรื่องนี้ดี และพร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นของทุกคน และต้องการที่จะมีเวลาในการอธิบาย ข้อดี ข้อเสีย ว่าทำไมโครงการใหญ่ๆ จึงต้องการที่จะอยากสนับสนุนต่อ บางเรื่องรัฐบาลไม่อยากมองเป็นภาพเล็กว่าจะต้องแก้ไขปัญหาได้เพียงแค่หนึ่งปี หรือปัญหานั้นจะไม่เกิดขึ้นอีก พร้อมยกตัวอย่าง เรื่องของน้ำท่วม ตนได้พูดคุยกับรัฐมนตรีว่าเราเบิกค่าเยียวยาเรื่องน้ำท่วมทุกปี แต่จะดีกว่าไหมถ้าจะไม่เกิดปัญหาเหล่านี้ และไม่ต้องเยียวยา หากเรามองเห็นภาพใหญ่โดยลงทุนมากหน่อยต่อเนื่องให้จบ ทำให้ประชาชนไม่ต้องประสบปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้งต่อไปทุกปี นี่จึงเป็นการลงทุนอีกอย่างหนึ่งที่ และเป็นการแก้ไขปัญหาระยะยาว ถือเป็นสิ่งที่รัฐบาลเล็งเห็น แม้ตอนนี้เรรัดเข็มขัดแล้ว แต่ก็ต้องคิดให้ถี่ถ้วนว่าจะลงทุนอะไรที่เป็นเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน และทำให้ประชาชนไม่ลำบากต่อเนื่องหลายปี พร้อมหวังว่าไทยจะทำเอฟทีเอ ทุกประเทศกับทุกประเทศในยุโรปเพื่อทำให้การลงทุนของประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึง หนี้ครัวเรือนถือที่เป็นอุปสรรคการพัฒนาประเทศ และคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งรัฐบาลได้พยามออกมาตรการ เช่น คุณสู้เราช่วยเพื่อช่วยเหลือ ซึ่งตัวเลขการแก้หนี้ครัวเรือนเป็นการยกหนี้รายย่อยแล้ว 8.3 แสนบัญชี ทำให้หลุดออกจากการติดเครดิตบูโร และสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อีกครั้ง โดยรัฐบาลชุดนี้ ได้สานต่อ เพราะถือเป็นประโยชน์อย่างมาก ซึ่งขณะนี้มีลูกหนี้ 2.6 แสนบัญชี โดยจะทำให้จบภายในวันที่ 15 มีนาคมนี้ โดยขอให้กระทรวงการคลังหารือกับแบงค์ชาติ เพื่อปรับปรุงโครงการ คุณสู้เราช่วย ให้ครอบคลุมกลุ่มลูกหนี้ให้ง่ายต่อการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งคิดว่ามาตรการต่างๆจะออกมาในช่วงปลายเดือนมีนาคม นี้และจะประกาศให้ประชาชนทราบอีกครั้ง

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า รัฐบาลยัฝตระหนักถึงปัญหาอาชญากรรมออนไลน์เรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การหลอกลวงให้คนไทยข้ามไปยังฝั่งเมียนมาร์ ถือว่าเป็นปัญหาที่ยิ่งฟังยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ประชาชนที่ถูกหลอกหมดตัว บางคนถึงขั้นจบชีวิต จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลเห็นว่าไม่ใช่เรื่องเล็กอีกต่อไป พร้อมได้ดำเนินการตัดไฟ ตัดน้ำมันที่ส่งไปยังเมียนมาร์และได้รับคำชื่นชมจากจีนว่าไทยเด็ดขาด และขณะนี้มีการปล่อยตัวเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ประมาณ 300 คน และมีอีก 7,000 คนที่รอการปล่อยตัว ซึ่งอยู่ระหว่างการพูดคุยกันระหว่างประเทศทั้งนี้มีการรายงานว่ามีการใช้ไฟลดลง 40% ถือว่าเป็นความสำเร็จอย่างมาก นอกจากนี้รัฐบาลได้ออกพระราชกำหนดเรื่องการป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยมีเนื้อหาให้บริษัทโทรคมนาคมและธนาคารพาณิชย์ร่วมกันรับผิดชอบแก่ผู้เสียหายด้วย จึงต้องเป็นการทำงานร่วมกันไม่ฉะนั้นรัฐบาลออกกฎอย่างเดียวคงเป็นไปไม่ได้ จึงเป็นสิ่งที่ต้องทำร่วมกัน และน่าจะเห็นผลเร็วเร็วนี้ หลังเริ่มบังคับใช้เพื่อให้การจัดการกับคอลเซ็นเตอร์มีประสิทธิภาพ

นายกรัฐมนตรี กล่าวได้ว่า เรื่องความเชื่อมั่นของประเทศไทย แน่นอนว่ารัฐบาลทำเต็มที่ เพื่อให้ประเทศไทยมีความเชื่อมั่นทั้งจากต่างประเทศและคนไทยด้วย แต่ความเชื่อมั่นไม่ได้มาจากรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียวยังมีความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

“ขอเพิ่มเติมว่าการที่เราสามารถติดต่อ ขอความร่วมมือกับต่างประเทศ เรื่องคอลเซ็นเตอร์ เป็นเรื่องระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาล ติดต่อประสานงาน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เซนซิทีฟ เราไม่สามารถผิดโพรโทคอล (มารยาทางการทูต) เช่นที่ตนเอง ถูกถามเรื่องต่างประเทศ บางสิ่งก็ยังไม่สามารถตอบได้ทันที เพราะเป็นสิ่งที่มีโพรโทคอล เขาจะนับว่านายกฯและตัวรัฐมนตรี ไม่ว่าจะพูดอะไร สัมภาษณ์ที่ไหน สิ่งนั้นจะถือเป็นสิ่งที่ใช่แล้ว ตกลงแล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องที่เกี่ยวกับต่างประเทศตนต้องปรึกษากับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศก่อน ว่าบางเรื่องพูดได้หรือไม่ เซนซิทีฟมากน้อยแค่ไหน เรื่องนี้สามารถเปิดเผยระหว่างประเทศได้หรือยัง พร้อมย้ำว่าเรื่องคอลเซ็นเตอร์เป็นเรื่องใหญ่เป็นเรื่องของรัฐบาลกับรัฐบาลร่วมมือกัน ให้เกิดผลอย่างมีประสิทธิภาพ ให้เกิดผลที่ดีกับทั้งสองประเทศ อย่างที่บอกความเชื่อมั่นเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากรัฐบาล แต่เกิดจากภาคเอกชน ประชาชน ถ้าทุกคนร่วมมือกัน เราจะมีประเทศที่พัฒนาด้านเศรษฐกิจและมีสังคมที่ปลอดภัยอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต ดังนั้นขอความร่วมมือและขอกำลังใจจากทุกภาคส่วน ให้ร่วมมือกันพัฒนาประเทศของเรา ต่อยอดขึ้นไปให้เศรษฐกิจดีขึ้นเรื่อย ให้เม็ดเงินลงทุนหมุนเวียนในประเทศของเรามากยิ่งขึ้น โดยตนเองจะเดินหน้าเดินสาย เรื่องการดึงเม็ดเงินจากต่างประเทศ ซึ่งจีดีพีของประเทศและความเป็นอยู่ของประชาชนจะดีขึ้นเรื่อยๆ จึงขอให้ทุกคนมีความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลเห็นทุกปัญหา ของทุกพื้นที่ และพร้อมสนับสนุน ให้ความร่วมมือกับประชาชนและภาคเอกชน เพื่อพัฒนาประเทศของเรา ไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ” นายกรัฐมนตรีระบุ.-316.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

อดีต ผกก.ขับรถปาดหน้า-ชัก M16 ขู่อดีตนายกเทศมนตรีที่วัง

สงขลา 11 พ.ค. – การเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล และนายกเทศมนตรี เดือด ลูกชาย สส.สงขลา ทำร้ายตำรวจคุมหน่วย ส่วน จ.นครศรีธรรมราช อดีตผู้กำกับขับรถปาดหน้าและชักปืน M16 ขู่อดีตนายกเทศมนตรีที่วัง การเลือกตั้งนายกเทศมนตรีที่วัง อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช เดือด นายชวลิต เจริญพงษ์ อดีตนายกเทศมนตรีที่วัง และปัจจุบันเป็นผู้สมัครรองนายกเทศมนตรีที่วัง เบอร์ 2 เข้าแจ้งความที่ สภ.กะปาง ว่าถูก พ.ต.อ.พิรุณ อดีต ผกก.ที่ปรึกษาผู้สมัครนายกเทศมนตรีอีกทีม ขับรถไล่ตามและใช้ปืน M16 ข่มขู่ โดยก่อนเกิดเหตุได้ไปกินข้าวที่ร้านอาหารกับผู้ใหญ่บ้าน ม.1 ต.ที่วัง ได้เจ้อกับลูกน้องคนสนิทของ พ.ต.อ.พิรุณ พร้อมพวก เข้ามาพูดจาข่มขู่ พวกตนจึงหนีขึ้นรถเพื่อตัดปัญหา แต่ปรากฏว่าเมื่ออกจากร้านได้เพียง 10 เมตร พ.ต.อ.พิรุณ ได้ขับรถแวนเชฟโรเลตสีขาวปาดหน้า และลงจากรถพร้อมปืน M16 วิ่งมาที่รถของตน เห็นท่าไม่ดี จึงหักพวงมาลัยขับรถหนีและเข้ามาแจ้งความ ระหว่างนั้น พ.ต.อ.พิรุณ พร้อมพวก […]

เร่งล่ามือฆ่าเผานั่งยาง 4 ศพ กลางสวนปาล์ม

ตรัง 11 พ.ค. – เร่งล่าคนร้ายโหดฆ่าเผานั่งยาง 4 ศพ กลางสวนปาล์มใน อ.สิเกา จ.ตรัง ล่าสุดตำรวจรู้ตัวผู้ก่อเหตุแล้ว วันนี้ (11 พ.ค. 68) เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สิเกา จ.ตรัง เข้าตรวจสอบภายในสวนปาล์มน้ำมันแห่งหนึ่ง พื้นที่หมู่ 1 หลังได้รับแจ้งมีเหตุฆ่าเผานั่งยาง ที่เกิดเหตุเป็นสวนปาล์มน้ำมัน สภาพรกทึบ ห่างจากถนนสายตรัง-สิเกา ไปตามถนนลูกรังกว่า 5 กม. พบเศษยางรถยนต์นับสิบเส้น และพบชิ้นส่วนคล้ายเศษเนื้อและอวัยวะของมนุษย์ เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน และหน่วยกู้ภัย เข้าเก็บชิ้นส่วน พบร่างมนุษย์ในกองเถ้าถ่าน 3 ร่าง จึงส่งชันสูตรหาร่องรอยหลักฐานที่เกี่ยวข้อง หลังเกิดเหตุ พล.ต.ต.ภัทรวิชญ์ คีตโมทนียกุล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตรัง พร้อมเจ้าหน้าที่กองปราบฯ เจ้าหน้าที่ สภ.สิเกา ฝ่ายสืบสวน และฝ่ายปกครอง ร่วมตรวจพื้นที่คลี่คลายคดีและเก็บพยานหลักฐาน โดยในที่เกิดเหตุเป็นร่องสวนปาล์มติดกับขนำร้างคอนกรีตมุงกระเบื้อง ซึ่งเจ้าของสวนสร้างเอาไว้ให้คนงานหลบแดด แต่ไม่มีผู้พักอาศัย พบร่องรอยกองเลือด ปลอกกระสุน แกลลอนน้ำมัน จึงเก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้เดินตรวจสอบบริเวณโดยรอบ […]

ผบ.ตร. สั่งกองวินัยเตรียมสอบ ปมมติแพทยสภาลงโทษหมอ

ผบ.ตร. รับทราบกรณีแพทยสภาลงโทษหมอ ปม “ทักษิณ” รักษาตัวชั้น 14 สั่งกองวินัยเตรียมสอบ หากเป็นแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ

คณะกรรมการแพทยสภา มีมติลงโทษ 3 แพทย์ เซ่นปม “ทักษิณ” รักษาตัวชั้น 14

คณะกรรมการแพทยสภา มีมติลงโทษแพทย์ 3 ท่าน เซ่นปม “ทักษิณ” รักษาตัวชั้น 14 รพ.ตำรวจ โดยว่ากล่าวตักเตือน 1 ท่าน พักใช้ใบประกอบวิชาชีพ 2 ท่าน เผยมติที่ประชุมมีความเห็น “เป็นเสียงส่วนใหญ่มาก มาก มาก”

ข่าวแนะนำ

ตร.ตรัง เร่งขอศาลออกหมายจับ มือฆ่าเผานั่งยาง 4 ศพ

ตรัง 12 พ.ค.- ตร.ตรัง เร่งขอศาลออกหมายจับมือฆ่าเผานั่งยาง 4 ศพ ขณะที่ญาตินิมนต์พระทำพิธีอัญเชิญดวงวิญญาณกลับบ้าน วันที่ 12 พฤษภาคม 2568 เมื่อเวลา 13.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐานจังหวัดตรัง ลงพื้นที่สวนปาล์มน้ำมัน เนื้อที่ 170 ไร่ จุดเกิดเหตุกลุ่มคนร้ายยิงและเผานั่งยางผู้จัดการสวน เพื่อนร่วมงาน และลูกน้องรวม 3 ศพ และจุดพบศพปริศนาถูกเผาและฝังดินอีก 1 ศพ ในพื้นใกล้กัน รวมทั้งหมดเป็น 4 ศพ โดยเป็นการลงพื้นที่ซ้ำ เพื่อตรวจหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมในบริเวณที่เกิดเหตุ โดยเฉพาะบริเวณขนำจุดยิงผู้ตายทั้ง 3 ราย ก่อนนำไปจุดไฟเผา โดยตำรวจพบหัวกระสุนปืนขนาด 11 มม.เพิ่มเติมอีก 1 หัว แต่ทั้งนี้ พบอุปสรรคสำคัญในการทำงานเก็บพยานหลักฐาน เนื่องจากในพื้นที่ได้เกิดฝนตกลงมาเป็นระยะ ๆ ทำให้ร่องรอยพยานหลักฐานบางอย่างถูกทำลาย ซึ่งขณะนี้ทำให้ทราบว่าขณะเกิดเหตุมีการใช้อาวุธปืนหลายขนาด เพราะพบหัวกระสุนปืนในที่เกิดเหตุ ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ชุดคลี่คลายคดียังคงกระจายกำลังกันลงพื้นที่เพื่อสืบสวนหาข่าวในพื้นที่ อ.สิเกา อ.วังวิเศษ จ.ตรัง และต.ทรายขาว […]

ออกหมายจับ สจ.คนดังพร้อมพวก รุมทำร้าย ตร.คาหน่วยเลือกตั้ง

สงขลา 12 พ.ค.- ศาลจังหวัดสงขลาออกหมายจับ สจ.คนดัง พร้อมพวกรวม 7 คน หลังก่อเหตุรุมทำร้าย ‘ด.ต.’ คาหน่วยเลือกตั้ง จ.สงขลา ขณะที่ ผบ.ตร.สั่งเอาผิด พวกทำตัวเหนือกฎหมาย จากกรณีสมาชิกสภา อบจ.สงขลา บุตรชาย สส.สงขลา ก่อเหตุสั่งให้ลูกน้อง 6 คน รุมทำร้ายร่างกาย ด.ต.นิสาธิต สังกัด ตชด.43 ปฏิบัติหน้าที่เจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อยหน่วยเลือกตั้ง บริเวณหน้าหน่วยเลือกตั้งที่ 7 หมู่ 2 ต.พะวง อ.เมือง จ.สงขลาหลัง ส.อบจ.คนดังกล่าว เข้ามาใช้สิทธิที่หน่วย และให้ลูกน้องถ่ายรูป ซึ่งผิดกฎหมายเลือกตั้ง ด.ต.นิสาธิต จึงได้เข้าไปตักเตือน สร้างความไม่พอใจ ก่อนขับรถออกจากหน่วยเลือกตั้ง จากนั้นมีกลุ่มชายชกรรจ์ 5-7 คน เข้ามาที่หน่วยเลือกตั้ง และรุมทำร้าย ด.ต.นิสาธิต บาดเจ็บ ต่อหน้าต่อตาชาวบ้านที่มาใช้สิทธิเลือกตั้ง อ้างว่าลูกพี่ใหญ่ ไม่มีใครกล้าทำอะไร ล่าสุด ศาลจังหวัดสงขลาอนุมัติหมายจับผู้ก่อเหตุทั้งหมด 7 […]

เพลิงไหม้มาราธอน โหมโรงงานเฟอร์นิเจอร์ ยังคุมไม่ได้

12 พ.ค.- ยังไม่ดับ! ไฟไหม้โรงงานเฟอร์นิเจอร์ ย่านลาดกระบัง ต้นเพลิงอยู่ที่ชั้นใต้ดิน ยังไม่สามารถลงไปได้ ผู้ว่าฯ ชัชชาติ รุดลงพื้นที่ สั่งอพยพชาวบ้านใกล้เคียง เร่งช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ ยืนยันสถานการณ์จะคลี่คลายภายในวันนี้ เพลิงไหม้โรงงานเฟอร์นิเจอร์ ซอยฉลองกรุง 55 แขวงลำปลาทิว เขตลาดกระบัง กรุงเทพฯ ลุกโหมมาตั้งแต่ช่วงเย็นวานนี้ ก่อนเจ้าหน้าที่ระดมรถดับเพลิงเข้าควบคุมสถานการณ์ ตลอดทั้งคืน ยังมีไฟปะทุออกจากชั้นใต้ดินของโครงสร้างอาคาร     ล่าสุดเช้าวันนี้ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมทีมวิศวกรผู้ เชี่ยวชาญด้านอาคารโรงงานอุตสาหกรรม ตำรวจ และทีมกู้ภัย เร่งเข้าตรวจสอบความเสียหายรอบพื้นที่โรงงาน นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เผยว่า มอบหมายให้ ดร.สุรจิตต์ พงษ์สิงห์วิทยา(ดร.จอร์น) ประธานสภากรุงเทพมหานคร และนายธราพงษ์ เพ็ชรคง ผู้อำนวยการสำนักงานเขตลาดกระบัง ลงพื้นที่ตั้งศูนย์บัญชาการเหตุยังจุดเกิดเหตุ ส่วนแนวทางปฏิบัติการ เตรียมใช้โฟมประกอบน้ำ ฉีดเข้าจุดที่ยังคงมีเพลิงปะทุคาดว่าจะควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ในวงจำกัดได้ภายในช่วงเที่ยงวันนี้   ขณะที่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงระบุว่า ต้นเพลิงอยู่ที่ชั้นใต้ดิน แต่ยังไม่สามารถลงไปได้ เนื่องจากมีกลุ่มควันและความร้อนสูง จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์พิเศษ หน้ากากออกซิเจน […]

กทม.ประกาศยุติค้นหาผู้สูญหายใต้ซากตึก สตง.

กรุงเทพฯ 12 พ.ค. – กทม. ประกาศยุติการค้นหาผู้สูญหายใต้ซากตึก สตง. ด้านรองผู้ว่าฯ กทม. สั่งลดระดับกองปูนซากตึกข้างศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง จาก 9 เมตร เหลือ 6 เมตร ป้องกันอันตรายและง่ายต่อการค้นหาหากมีชิ้นส่วนที่เหลือติดค้างอยู่ เมื่อเวลา 10.30 น.ที่ผ่านมา (12 พ.ค. 68) ที่กองอำนวยกาารร่วม สน.บางซื่อ ห้างสรรพสินค้าเจเจมอลล์ ถ.กำแพงเพชร 2 แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร รศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ประกาศยุติค้นหาผู้สูญหายจากเหตุอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ถล่ม รศ.ทวิดา เปิดเผยว่า วันนี้การค้นหาผู้ติดค้างภายในซากอาคารดังกล่าวยุติทั้งหมดแล้ว และเวลา 17.00 น. วันนี้ ทีมสุนัข K9 จะเข้าสำรวจความชัดเจนบริเวณกองซากวัสดุอาคาร สตง. หลังศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง เพื่อให้เเน่ใจว่าจะไม่มีชิ้นส่วนมนุษย์หลงเหลืออยู่แล้ว ส่วนด้านเครื่องจักรในพื้นที่จะยังคงทำงานอยู่ เนื่องจากจะมีการขนซากเศษปูนที่อยู่ตรงโซน A ทั้งหมด ย้ายออกไปหลังศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง โดยในเวลา […]