นายกฯ ขึ้นเวทีปาฐกถา “เชื่อมั่นประเทศไทย” ตั้งเป้าดัน GDP ปี 68 โต 3%

ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ 19 ก.พ.-นายกฯ ขึ้นเวทีปาฐกถา “เชื่อมั่นประเทศไทย” ตั้งเป้าดัน GDP ปี 68 โต 3% แจงสาเหตุตัวเลขไทยต่ำกว่าเพื่อนบ้านอาเซียน ต้องดูปัจจัยภายใน-นอกประกอบ ชี้เศรษฐกิจฝืดเคือง ธนาคารพาณิชย์ไม่ปล่อยเงินกู้ให้ SME ขาดสภาพคล่อง พร้อมส่งสัญญาณ “แบงก์ชาติ” ลดดอกเบี้ย ย้ำเดินหน้า “แลนด์บริดจ์” บอกไม่แปลกมีคนต้าน

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “เชื่อมั่นประเทศไทย” ในงานสัมมนา Matichon Leadership Forum 2025 Trust Thailand : เชื่อมั่นประเทศไทย ว่า ตลอดปีที่ผ่านมาประเทศไทยเผชิญกับปัญหาความท้าทายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจที่ไม่ดีนัก เงินในระบบที่ไม่พอ เงินยังมีความฝืดเคืองอยู่มาก แต่ด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วนทำให้เราได้เห็นสัญญาณอันดี คือปลายปีที่แล้วเรามีตัวเลขจีดีพี ปี 67 ขยายตัว 2.5% จากที่ตั้งเป้า 2.2% ซึ่งเห็นได้ว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ให้ประชาชนใช้จ่าย ส่งผลให้การบริโภคภายในประเทศเพิ่มขึ้นที่เห็นได้ชัดชัดเจนก็คือตัวเลขของนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้นเป็นประวัติการณ์ถือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากหลายภาคส่วนรวมกันทั้งเรื่องฟรีวีซ่า เพื่อให้การท่องเที่ยวง่ายขึ้น และยังสร้างความเชื่อมั่นว่าเมื่อเข้ามาในประเทศไทยแล้วมีความปลอดภัยทำให้สามารถดึงดูดเงินจากทั่วโลกได้มากขึ้น


สำหรับปี 2568 ตั้งเป้าให้จีดีพีโตขึ้น 3% ที่สำคัญการลงทุนของภาคเอกชนที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงการใช้จ่ายของประชาชนที่มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น ภาครัฐเองมีส่วนในการผลักดันในการใช้งบลงทุนให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยตนเองได้เรียกทุกภาคส่วนมาพูดคุยกันว่างบต่างๆที่เราได้ต้องเร่งให้เกิดการลงทุนให้เร็วที่สุด เช่น การก่อสร้างต่างๆ ทำให้เกิดการจ้างงานเงินในระบบหมุนเวียนมากขึ้น และทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียน ดังนั้นจึงต้องเร่งให้เกิดการลงทุนของภาครัฐ

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า ตัวเลขจีดีพีที่ออกมา ถูกเอาไปเปรียบเทียบกับประเทศอาเซียนจะเห็นได้ว่าตัวเลขต่ำกว่าประเทศอื่น ซึ่งยังไม่ได้เอาปัจจัยภายใน และภายนอกของประเทศมาประกอบถือว่ายังไม่ครบถ้วน ที่เห็นได้ชัดเจน คือเรื่องอุตสาหกรรมของประเทศไทยที่ไม่เห็นการพัฒนามานานแล้ว ทั้งที่ประเทศเพื่อนบ้านมีการพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะประเทศมาเลเซีย มีการลงทุนเรื่องเซมิคอนดอกเตอร์ แต่ประเทศไทยไม่ได้ดำเนินการในเรื่องนี้มาเป็น 10 ปีแล้ว ส่วนเวียดนาม มีการพัฒนาทักษะของคน เช่น การเขียนซอฟต์แวร์ต่างๆ แต่ไทยยังไม่ได้พัฒนาเรื่องนี้อย่างเป็นระบบ อีกทั้งสภาพคล่องด้านเศรษฐกิจก็ยังไม่เต็มระบบ โดยธนาคารพาณิชย์ยังปล่อยกู้ไม่มากพอ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยงทำให้เกิดการฝืดเคืองของเศรษฐกิจ อย่างกลุ่มเอสเอ็มอี ที่เป็นกลุ่มใหญ่ของประเทศถึง 75% ไม่สามารถกู้เงินเพื่อมาขยายธุรกิจ จึงขยายตัวได้ไม่มากนัก จึงขอความร่วมมือทุกภาคส่วน


ด้านภาครัฐมีงบประมาณไม่เพียงพอ รายได้ถูกใช้ไปในเรื่องของงบประจำเป็นส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้นการเหลืองบประมาณที่จะนำมาลงทุนในประเทศให้เกิดการพัฒนาก็เหลือน้อยเต็มที โดยตั้งแต่ตนเข้ามาทำหน้าที่ก็พยามจะบอกทุกคนให้รัดเข็มขัด แต่ก็ต้องทำการลงทุนควบคู่กันไปด้วย ดังนั้นต้องทำให้เม็ดเงินเกิดประสิทธิภาพสูงสุดต้องบาลานซ์ให้ดีไม่อย่างนั้นจะเกิดปัญหาในอนาคต และเมื่องบประมาณมีจำกัดก็จะส่งผลกับเรื่องของการลงทุน แม้แต่เงินกู้ก็ชนเพดาน ซึ่งเป็นเวลาที่รัฐบาลนี้เข้ามาบริหารก็เจอปัญหานี้แล้ว แน่นอนว่าเราพยายามหาทางออกเพื่อที่จะทำให้เงินลงทุนทุกบาททุกสตางค์ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ยังมีการทำการตลาดที่เป็นจุดแข็งของประเทศไทยในการดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศเมื่อการลงทุนจากต่างชาติ หรือเม็ดเงินจากต่างประเทศไม่เข้ามา การขยับของจีดีพีก็จะเป็นไปได้ยาก เราก็ทราบดีปัญหาเหล่านี้ต้องใช้เวลาในการแก้ไข จะเห็นได้ว่าตั้งแต่รัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน มีการดึงเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้ามา นี่เป็นสิ่งที่รัฐบาลทำได้ร่วมกับบีโอไอ ซึ่งต้องทำให้เกิดความเชื่อมั่น และทำให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามามากยิ่งขึ้น โดยได้เสนอเรื่องของการทำการตลาดดึงนักลงทุนต่างชาติ ทำให้ยอดการลงทุนเพิ่มขึ้น 35% หรือ 1.14 ล้านล้านบาท คิดเป็น 5% ของจีดีพี และเร่งให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบ เป็นสิ่งที่ขยับและเห็นผล ทั้งนี้ยังมีมาตรการอีกมากมายทั้งสินเชื่อเอสเอ็มอีดึงอุตสาหกรรมใหม่เข้าประเทศ ดาต้าเซ็นเตอร์ เซมิคอนด็อกเตอร์ เพราะอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูงขนาดนี้จะสามารถเติมเงินครั้งใหญ่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศได้ นอกจากการเติมเงินแล้ว ยังช่วยเรื่องของกำลังซื้อของประชาชนด้วย อีกสิ่งที่รัฐบาลเห็นถึงความสำคัญคือการ Man-make Destination หรือ การสร้างสถานที่ใหม่ใหม่เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง และทำให้ทุกเดือนของประเทศไทยมีกิจกรรมสามารถท่องเที่ยวได้ไม่ใช่เฉพาะช่วงวันสำคัญ อย่างวันสงกรานต์หรือวันสำคัญอื่นๆ ต้องทำให้มีช่วงโลซีซั่น ซึ่งจะทำให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบ

นายกรัฐมนตรี ยังระบุว่า หากมีการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบก็จะสามารถยกระดับเศรษฐกิจของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต โดยมาตรการเร่งด่วนรัฐบาลได้พูดคุยและขอความร่วมมือกับธนาคารพาณิชย์ที่มีกำไร ให้ช่วยเสริมสภาพคล่อง โดยการปล่อยกู้ให้กับคนไทยให้มีแคชโฟร์(กระแสเงินสด) ในการที่จะนำเงินมาหมุนเวียนในอุตสาหกรรม ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย พิจารณาลดดอกเบี้ย เพื่อลดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน และเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ เพราะเงินเฟ้อยังน้อยอยู่


ทั้งนี้รัฐบาลให้ความสำคัญกับการลงทุนอุตสาหกรรมในอนาคตที่ประเทศไทยมองเป้าหมาย เรื่องยานยนต์ไฟฟ้า รถอีวีอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิตอล ปัญญาประดิษฐ์ ai และเซมิคอนด็อกเตอร์ ซึ่งจะเป็นรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัลต่อไป เราพยายามที่จะวางตัวให้เป็นHUB ของภูมิภาค ให้คนที่จะผลิตรถอีวีเข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทย และขณะนี้มีหลายโรงงานที่เข้ามาตั้งอยู่ในประเทศไทย การทำเช่นนี้ก็จะต้องดูเรื่องของ Green energy ประกอบด้วย จะเป็นการทำให้ทั่วโลกได้เล็งเห็นว่ากำลังจะก้าวต่อไปสำหรับโลกในอนาคต เป็นสิ่งที่รัฐบาลทราบและทำควบคู่กันอย่างเป็นระบบ

ในปี 2567 ไทยได้รับการลงทุนของสถาบันดิจิตอลสูงเป็นอันดับหนึ่ง เรื่องของดาต้าเซ็นเตอร์และ could จากสหรัฐอเมริกา จีน อินเดีย ฮ่องกง ญี่ปุ่นและออสเตรเลีย รวมเงินลงทุนกว่า 2 แสนล้านบาท ล่าสุดบีโอไอ อนุมัติการลงทุนของ TikTok วีเอ็นมีเดีย count พาร์ทเนอร์กว่า 1.3 แสนล้านบาท ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีที่เราได้มีบริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลกเข้ามาลงทุนกับประเทศไทย ทำให้เกิดความเชื่อมั่นส่งผลให้การลงทุนต่างๆเป็นไปด้วยความราบรื่นมากขึ้น

ด้านโครงสร้างพื้นฐาน เส้นทางรถไฟ ความเร็วสูง ไทย-ลาว- จีน เชื่อมโยงกรุงเทพฯ-หนองคาย หากดำเนินการได้จะการลดค่าใช้จ่ายเรื่องการขนส่งเป็นอย่างมาก เป็นโอกาสที่จะทำให้เกิดการกระตุ้นการลงทุนและทำกำไรมากยิ่งขึ้น รวมถึงทำให้การเดินทางเข้ามาในประเทศเพิ่มมากขึ้น เกิดการจ้างงานที่เพิ่มมากขึ้นมีอาชีพใหม่ใหม่เกิดขึ้น ส่งผลให้ประชาชนมีรายได้ และเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ให้กับครอบครัว

นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่ารัฐบาลจะเดินหน้าผลักดันเรื่องของแลนด์บริดจ์ ซึ่งจากการเดินทางเยือนจีนก็ได้มีการสอบถามและขอข้อมูลเพิ่มเติมจากไทยถือเป็นนิมิตหมายอันดีที่จีนให้ความสนใจเรื่องนี้ ถือเป็นสิ่งที่เราต้องทำงาน ซึ่งหากแลนด์บริดจ์เกิดขึ้นการขนส่งสินค้าจะประหยัดได้เยอะมาก เช่น การขนส่งสินค้าผลไม้มีเวลาเสียจะทำให้สามารถประหยัดเวลาการขนส่งได้ถึง4วัน เราจะสามารถส่งผลไม้ได้มากขึ้นสดใหม่มากขึ้น และสามารถประหยัดต้นทุนได้ถึง 15% เพราะเราส่งออกผลไม้เยอะมาก อย่างประธานาธิบดีสี จิ้นผิงชอบทุเรียนของไทย และมีคนจีนอีกมากที่เป็นแฟนผลไม้ของไทย

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า เมื่อวานนี้(18 ก.พ.) ได้ประชุมครม. ที่สงขลา มีการสอบถามว่าเราจะดำเนินการเรื่องแลนด์บริดจ์อย่างไร เนื่องจากมีผู้มาต่อต้าน ซึ่งซึ่งมองว่าเรื่องนี้ไม่แปลก เมื่อประเทศของเราจะมีการเปลี่ยนแน่นอนว่าต้องมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ซึ่งเป็นไปตามปกติของระบบประชาธิปไตย โดยรัฐบาลได้ตระหนักถึงเรื่องนี้ดี และพร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นของทุกคน และต้องการที่จะมีเวลาในการอธิบาย ข้อดี ข้อเสีย ว่าทำไมโครงการใหญ่ๆ จึงต้องการที่จะอยากสนับสนุนต่อ บางเรื่องรัฐบาลไม่อยากมองเป็นภาพเล็กว่าจะต้องแก้ไขปัญหาได้เพียงแค่หนึ่งปี หรือปัญหานั้นจะไม่เกิดขึ้นอีก พร้อมยกตัวอย่าง เรื่องของน้ำท่วม ตนได้พูดคุยกับรัฐมนตรีว่าเราเบิกค่าเยียวยาเรื่องน้ำท่วมทุกปี แต่จะดีกว่าไหมถ้าจะไม่เกิดปัญหาเหล่านี้ และไม่ต้องเยียวยา หากเรามองเห็นภาพใหญ่โดยลงทุนมากหน่อยต่อเนื่องให้จบ ทำให้ประชาชนไม่ต้องประสบปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้งต่อไปทุกปี นี่จึงเป็นการลงทุนอีกอย่างหนึ่งที่ และเป็นการแก้ไขปัญหาระยะยาว ถือเป็นสิ่งที่รัฐบาลเล็งเห็น แม้ตอนนี้เรรัดเข็มขัดแล้ว แต่ก็ต้องคิดให้ถี่ถ้วนว่าจะลงทุนอะไรที่เป็นเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน และทำให้ประชาชนไม่ลำบากต่อเนื่องหลายปี พร้อมหวังว่าไทยจะทำเอฟทีเอ ทุกประเทศกับทุกประเทศในยุโรปเพื่อทำให้การลงทุนของประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึง หนี้ครัวเรือนถือที่เป็นอุปสรรคการพัฒนาประเทศ และคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งรัฐบาลได้พยามออกมาตรการ เช่น คุณสู้เราช่วยเพื่อช่วยเหลือ ซึ่งตัวเลขการแก้หนี้ครัวเรือนเป็นการยกหนี้รายย่อยแล้ว 8.3 แสนบัญชี ทำให้หลุดออกจากการติดเครดิตบูโร และสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อีกครั้ง โดยรัฐบาลชุดนี้ ได้สานต่อ เพราะถือเป็นประโยชน์อย่างมาก ซึ่งขณะนี้มีลูกหนี้ 2.6 แสนบัญชี โดยจะทำให้จบภายในวันที่ 15 มีนาคมนี้ โดยขอให้กระทรวงการคลังหารือกับแบงค์ชาติ เพื่อปรับปรุงโครงการ คุณสู้เราช่วย ให้ครอบคลุมกลุ่มลูกหนี้ให้ง่ายต่อการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งคิดว่ามาตรการต่างๆจะออกมาในช่วงปลายเดือนมีนาคม นี้และจะประกาศให้ประชาชนทราบอีกครั้ง

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า รัฐบาลยัฝตระหนักถึงปัญหาอาชญากรรมออนไลน์เรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การหลอกลวงให้คนไทยข้ามไปยังฝั่งเมียนมาร์ ถือว่าเป็นปัญหาที่ยิ่งฟังยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ประชาชนที่ถูกหลอกหมดตัว บางคนถึงขั้นจบชีวิต จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลเห็นว่าไม่ใช่เรื่องเล็กอีกต่อไป พร้อมได้ดำเนินการตัดไฟ ตัดน้ำมันที่ส่งไปยังเมียนมาร์และได้รับคำชื่นชมจากจีนว่าไทยเด็ดขาด และขณะนี้มีการปล่อยตัวเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ประมาณ 300 คน และมีอีก 7,000 คนที่รอการปล่อยตัว ซึ่งอยู่ระหว่างการพูดคุยกันระหว่างประเทศทั้งนี้มีการรายงานว่ามีการใช้ไฟลดลง 40% ถือว่าเป็นความสำเร็จอย่างมาก นอกจากนี้รัฐบาลได้ออกพระราชกำหนดเรื่องการป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยมีเนื้อหาให้บริษัทโทรคมนาคมและธนาคารพาณิชย์ร่วมกันรับผิดชอบแก่ผู้เสียหายด้วย จึงต้องเป็นการทำงานร่วมกันไม่ฉะนั้นรัฐบาลออกกฎอย่างเดียวคงเป็นไปไม่ได้ จึงเป็นสิ่งที่ต้องทำร่วมกัน และน่าจะเห็นผลเร็วเร็วนี้ หลังเริ่มบังคับใช้เพื่อให้การจัดการกับคอลเซ็นเตอร์มีประสิทธิภาพ

นายกรัฐมนตรี กล่าวได้ว่า เรื่องความเชื่อมั่นของประเทศไทย แน่นอนว่ารัฐบาลทำเต็มที่ เพื่อให้ประเทศไทยมีความเชื่อมั่นทั้งจากต่างประเทศและคนไทยด้วย แต่ความเชื่อมั่นไม่ได้มาจากรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียวยังมีความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

“ขอเพิ่มเติมว่าการที่เราสามารถติดต่อ ขอความร่วมมือกับต่างประเทศ เรื่องคอลเซ็นเตอร์ เป็นเรื่องระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาล ติดต่อประสานงาน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เซนซิทีฟ เราไม่สามารถผิดโพรโทคอล (มารยาทางการทูต) เช่นที่ตนเอง ถูกถามเรื่องต่างประเทศ บางสิ่งก็ยังไม่สามารถตอบได้ทันที เพราะเป็นสิ่งที่มีโพรโทคอล เขาจะนับว่านายกฯและตัวรัฐมนตรี ไม่ว่าจะพูดอะไร สัมภาษณ์ที่ไหน สิ่งนั้นจะถือเป็นสิ่งที่ใช่แล้ว ตกลงแล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องที่เกี่ยวกับต่างประเทศตนต้องปรึกษากับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศก่อน ว่าบางเรื่องพูดได้หรือไม่ เซนซิทีฟมากน้อยแค่ไหน เรื่องนี้สามารถเปิดเผยระหว่างประเทศได้หรือยัง พร้อมย้ำว่าเรื่องคอลเซ็นเตอร์เป็นเรื่องใหญ่เป็นเรื่องของรัฐบาลกับรัฐบาลร่วมมือกัน ให้เกิดผลอย่างมีประสิทธิภาพ ให้เกิดผลที่ดีกับทั้งสองประเทศ อย่างที่บอกความเชื่อมั่นเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากรัฐบาล แต่เกิดจากภาคเอกชน ประชาชน ถ้าทุกคนร่วมมือกัน เราจะมีประเทศที่พัฒนาด้านเศรษฐกิจและมีสังคมที่ปลอดภัยอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต ดังนั้นขอความร่วมมือและขอกำลังใจจากทุกภาคส่วน ให้ร่วมมือกันพัฒนาประเทศของเรา ต่อยอดขึ้นไปให้เศรษฐกิจดีขึ้นเรื่อย ให้เม็ดเงินลงทุนหมุนเวียนในประเทศของเรามากยิ่งขึ้น โดยตนเองจะเดินหน้าเดินสาย เรื่องการดึงเม็ดเงินจากต่างประเทศ ซึ่งจีดีพีของประเทศและความเป็นอยู่ของประชาชนจะดีขึ้นเรื่อยๆ จึงขอให้ทุกคนมีความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลเห็นทุกปัญหา ของทุกพื้นที่ และพร้อมสนับสนุน ให้ความร่วมมือกับประชาชนและภาคเอกชน เพื่อพัฒนาประเทศของเรา ไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ” นายกรัฐมนตรีระบุ.-316.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

มือมีดทำร้าย “เป๊ก ผลิตโชค” ขอโทษ อ้างป้องกันตัว

กรุงเทพฯ 3 ส.ค. – มือมีดทำร้าย “เป๊ก ผลิตโชค” ยืนยันไม่ได้ตั้งใจเอามีดฟัน อ้างไม่ใช่คู่กรณี แต่เห็นคนทะเลาะกัน เลยเข้าไปห้าม แต่ “เป๊ก” ปรี่เข้าหา จึงชักมีดพกขึ้นมาป้องกันตัว อยากขอโทษ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นช่วง 01.30 น. พนักงานสอบสวน สน.หัวหมาก รับแจ้งเหตุมีคนถูกมีดฟันบาดเจ็บในปั๊มน้ำมันซอยรามคำแหง 76 เขตบางกะปิ เมื่อเข้าไปตรวจสอบพร้อมกับสายตรวจและอาสากู้ภัย พบคนเจ็บคือ เป๊ก-ผลิตโชค อายนบุตร อายุ 40 ปี ดารานักร้องชื่อดัง ถูกมีดฟันใต้คางเป็นแผลฉกรรจ์ ทำให้ต้องเร่งปฐมพยาบาลเบื้องต้น ก่อนพาตัวส่งโรงพยาบาล ขณะที่ผู้ก่อเหตุคือ นายชุติเทพ อายุ 21 ปี ไม่ได้หนีไปไหน ยืนรอมอบตัวกับตำรวจ พร้อมอาวุธมีดยาว 20 เซนติเมตร ที่ใช้ฟันเป๊ก ผลิตโชค ตำรวจจึงคุมตัวไปสอบปากคำที่โรงพัก เบื้องต้นนายชุติเทพ ให้การอ้างขับรถไปรับแฟนออกจากที่ทำงานเพื่อกลับบ้าน แต่ขณะแวะปั๊มน้ำมันจุดเกิดเหตุ เห็นมีคนกำลังทะเลาะกัน คล้ายมีอาการมึนเมา อยู่ท้ายรถกระบะ ตนเองจึงเข้าไปช่วยเคลียร์ […]

ทบ.แจงไม่มีคำสั่งอพยพชาวสุรินทร์ ปัดข่าวลือเตรียมโจมตีกัมพูชา

กองทัพบก 3 ส.ค. – โฆษกกองทัพบก แจงไม่มีคำสั่งอพยพชาวสุรินทร์ ปัดข่าวลือเตรียมโจมตีกัมพูชา กองทัพบก ออกมาปฏิเสธข่าวลือที่แพร่สะพัดบนโซเชียลมีเดีย หลังมีการอ้างว่า “สมเด็จฮุนเซน” อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา แชร์โพสต์ของโฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ระบุว่า กองทัพบกไทยสั่งอพยพชาวจังหวัดสุรินทร์ภายในคืนนี้ เพื่อเตรียมเปิดฉากโจมตีกัมพูชา ก่อนการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ยืนยันว่า ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง ปัจจุบันในพื้นที่ไม่ได้มีการสั่งอพยพด่วนชาวสุรินทร์อย่างที่ระบุไว้ตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด ที่ผ่านมา การนำเสนอข้อมูลของโฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ไม่มีความน่าเชื่อถือเพียงพอ ขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารจากแหล่งข่าวทางการ และไม่หลงเชื่อหรือแชร์ข้อมูลเท็จที่อาจสร้างความตื่นตระหนกในสังคม ทั้งนี้ กองทัพบกยังคงเคารพข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด แต่ก็ได้เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ไม่คาดคิดจากการกระทำของฝ่ายกัมพูชาที่มีแนวโน้มละเมิดข้อตกลงหยุดยิงบ่อยครั้ง รวมถึงพบว่ามีการเพิ่มเติมกำลังพลและยุทโธปกรณ์เข้ามาในพื้นที่. – สำนักข่าวไทย

พระราชทานเพลิงศพ 7 ผู้วายชนม์ เหตุปะทะไทย-กัมพูชา

3 ส.ค. – พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ ในการพระราชทานเพลิงศพผู้วายชนม์ 7 ราย จากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา วันนี้ ครอบครัวและญาติทำพิธีฌาปนกิจผู้เสียชีวิต 7 ราย จากเหตุกัมพูชายิงใส่พื้นที่พลเรือนของไทยใน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ท่ามกลางบรรยากาศโศกเศร้า เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธี เชิญกล่องเพลิงพระราชทาน ผ้าไตรพระราชทาน และช่อดอกไม้จันทน์พระราชทาน มายังศาลาพุทธคุณ วัดมหาพุทธาราม พระอารามหลวง ต.เมืองเหนือ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ เพื่อประกอบพิธีพระราชทานเพลิงศพผู้เสียชีวิตจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา จากนั้นมีการอ่านหมายรับสั่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ ในการพระราชทานเพลิงศพผู้วายชนม์ 7 ราย ได้แก่ นางสาวรุ่งรัศ, เด็กหญิงทักษพร, เด็กชายพงศภัค, เด็กชายกิตติศักดิ์, นางสาวสาวิตรี, นางอรุณรัตน์ และนายสมศรี โดยมี 5 ราย เสียชีวิตจากเหตุกัมพูชายิงจรวด BM-21 ใส่ร้านสะดวกซื้อ ภายในปั๊มน้ำมัน อ.กันทรลักษ์ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา ส่วนอีก […]

คนร้ายยิง M16 ถล่มกำนัน ต.นาวง ดับคากระบะ

ตรัง 3 ส.ค. – ตำรวจ สภ.ห้วยยอด พร้อมชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด ตรวจสอบรถกระบะกำนัน ต.นาวง อ.ห้วยยอด จ.ตรัง หลังถูกคนร้ายใช้อาวุธปืน M16 ยิงถล่ม เสียชีวิตหน้าบ้านพัก เบื้องต้นตำรวจตั้งปมขัดแย้งส่วนตัว มุ่งเอาชีวิตเป็นหลัก คืบหน้าเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืน M16 ยิงถล่มรถกระบะนายบัณฑิต กำนันตำบลนาวง และประธานชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้าน อ.ห้วยยอด จ.ตรัง เสียชีวิตหน้าบ้านพักเมื่อกลางดึกที่ผ่านมา ล่าสุด ตำรวจ สภ.ห้วยยอด ประสานพิสูจน์หลักฐาน พร้อมชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดศรีตรัง เข้าตรวจสอบรถกระบะของผู้เสียชีวิต พบถูกกระสุนปืน M16 ยิงใส่รถรวม 15 นัด เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตั้งประเด็นขัดแย้งส่วนตัว มุ่งเอาชีวิตเป็นหลัก เนื่องจากสภาพศพกระสุนปืนเข้าที่อวัยวะสำคัญ ทั้งศีรษะและลำตัวฝั่งขวาหลายนัด แต่ยังไม่ตัดประเด็นอื่นๆ ที่อาจเกี่ยวข้องทิ้ง ทั้ง รื่องพิพาทผลประโยชน์สวนปาล์มน้ำมันในพื้นที่วังวิเศษ หรือความเชื่อมโยงกับคดีลอบสังหาร “ทนายเหว่า” ซึ่งอยู่ระหว่างสืบสวนเชิงลึก และอยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐาน เพื่อออกหมายจับ ผู้เกี่ยวข้องต่อไป.-สำนักข่าวไทย