สำนักงบประมาณ 18 พ.ย.-รัฐบาลมุ่งจัดงบประมาณแบบกลุ่มจังหวัด งบตามยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมกลุ่มเป้าหมาย ยอมรับปี 60-61 เป็นปีแห่งการปรับฐาน เมื่อเงินลงทุนออกสู่ระบบเต็มที่แล้ว เศรษฐกิจจะเติบโตสูง
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี มอบนโยบายให้กับส่วนราชการเป็นรายสาขาการใช้งบประมาณตามยุทธศาสตร์ของรัฐบาล เพื่อเตรียมพร้อมจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 61 เพื่อแบ่งสัดส่วนการจัดสรรงบประมาณตามยุทธศาสตร์ของรัฐบาลและการจัดสรรงบประมาณตามพื้นที่กลุ่มเป้าหมาย จึงมอบนโยบายให้กับส่วนราชการเป็นรายกลุ่ม โดยมีหลายกระทรวง หลายส่วนราชการมาร่วมรับฟัง ทั้งด้านโลจิสติกส์ คมนาคม อุตสาหกรรมกลุ่มเป้าหมาย S-Curve ใหม่ ด้านส่งเสริมเอสเอ็มอี เพื่อให้ทุกส่วนราชการจัดสรรงบประมาณสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในทิศทางเดียวกันและไม่ซ้ำซ้อนกัน เพื่อป้องกันใช้งบประมาณต่างคนต่างทำ
เนื่องจากในปี 60-61 รัฐบาลต้องเร่งรัดพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหลายด้าน ทั้งรถไฟ ถนน ท่าเรือ ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก เพื่อต้องการเชื่อมโยงกับกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน ในส่วนการส่งเสริมเอสเอ็มอี ต้องการส่งเสริม 177 โครงการผ่านงบประมาณ 16,864 ล้านบาท เมื่อการสร้างรถไฟฟ้าไปยังจังหวัดต่างๆ จะทำให้เศรษฐกิจตามแนวรถไฟและสถานีพัฒนาไปด้วย จึงไม่ต้องมานับจำนวนผู้โดยสารมีคนใช้บริการมากน้อยเพียงใด แต่ระยะยาวจะส่งผลต่อภาพรวมทั้งการขนส่ง และการพัฒนาเมืองตามเส้นทางรถไฟฟ้า
อีกทั้งรัฐบาล ต้องการส่งเสริมการจัดสรรงบประมาณแบบกลุ่มจังหวัด เพื่อพัฒนาเป็นรายพื้นที่หวังพัฒนากลุ่มจังหวัดให้เติบโตไปพร้อมกัน เช่น ภาคเหนือจะเห็นการเติบโตของจังหวัดเชียงใหม่ แต่ลำปาง มีศักยภาพเติบโตอีกมากแต่กลับเป็นจังหวัดเงียบเหงา เมื่อเป็นจังหวัดเล็กมักจะได้รับงบประมาณน้อย ดังนั้นจึงต้องปรับแผนการพัฒนาเป็นกลุ่มจังหวัด และหากจังหวัดใดเติบโต ให้เสนอแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยไม่ต้องรอพัฒนากรุงเทพฯให้แล้วเสร็จ เพราะเชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา นครราชสีมา จังหวัด อบจ.สามารถร่วมกับภาคเอกชนเสนอแผนสร้างรถไฟฟ้าแบบโมโนเรล เพื่อลดปัญหาการจราจรภายในเมือง
ยอมรับว่าในปี 60-61 เป็นปีแห่งการปรับฐาน เพื่อลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เมื่อทุกอย่างสร้างแล้วเสร็จ หลังจากนั้นประเทศจะเติบโตได้อย่างรวดเร็ว กลับไปสู่การขยายตัวตามศักยภาพมากกว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศขณะนี้ ประชาชนไม่มีอารมณ์ในการบริโภค การใช้จ่าย เพราะอยู่ในช่วงบรรยากาศการเศร้าโศกหลังจากในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเสด็จสวรรณคต แต่กระทรวงการคลังดูแลเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อออกมาตรการต่างๆมาช่วยเหลือ
อีกทั้งเมื่อนโยบายเศรษฐกิจของนายทรัมป์ออกมาชัดเจน เกี่ยวกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านการลดภาษีเงินได้นิติบุคคล การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จะทำให้เงินทุนที่กระจายออกไปทั่วโลกไหลกลับไปยังสหรัฐ เมื่อเฟดปรับเพิ่มดอกเบี้ย ย่อมส่งผลต่อค่าเงินหลายประเทศอ่อนค่าลง รวมทั้งเงินบาทของไทย ซึ่งจะส่งผลดีต่อค่าเงินบาท ยอมรับว่าเงินบาทในระดับ 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐบรรดาผู้ส่งออกย่อมพอใจ เมื่อกระแสเงินทุนไหลออก กระทรวงคลังและธปท.จะดูแลอย่างใกล้ชิด จึงไม่น่าเป็นห่วงปัญหาเงินทุนไหลออก.-สำนักข่าวไทย