กรุงเทพฯ2 มี.ค.-เปิดห้องปฏิบัติการนิติวิทยาศาสตร์สัตว์ป่า กรมอุทยานฯ พิสูจน์การทำงานทุกขั้นตอนเพื่อความโปร่งใส สร้างความมั่นใจผลการตรวจสัตว์ โดยเฉพาะการตรวจดีเอ็นเอช้างบ้านกว่า 3,500 เชือก แก้ปัญหาการสวมตั๋วรูปพรรณช้างป่าเป็นช้างบ้าน
น.ส.กณิตา อุ่ยถาวร หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการนิติวิทยาศาสตร์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช นำคณะสื่อมวลชนเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการนิติวิทยาศาสตร์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช อาคารไพโรจน์ สุวรรณกร ติดตามการทำงานด้านนิติวิทยาศาสตร์ทุกขั้นตอนเพื่อพิสูจน์ความโปร่งใส รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นผลการตรวจรหัสพันธุกรรม(ดีเอ็นเอ) ช้างบ้าน ซึ่งดำเนินการตามคำสั่งมาตรา 44 ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เก็บตัวอย่างดีเอ็นเอช้างบ้านทั่วประเทศกว่า 3,500 เชือกตรวจหาอัตลักษณ์ที่มาช้างแต่ละเชือกและทำฐานข้อมูลด้านพันธุกรรม แก้ปัญหาการสวมตั๋วรูปพรรณช้างป่าเป็นช้างบ้าน
น.ส.กณิตา กล่าวว่า กรณีการตรวจดีเอ็นเอ ของช้าง 2 เชือก คือพลายทีจีและพลายเกาะพญาเพ็ชร ที่เก็บตัวอย่างเลือดมาตรวจ 3 ครั้ง ในช่วงเวลาที่ต่างกัน คือตามคำร้องขอของชุดพญาเสือ , ตามคำสั่ง คสช.มาตรา 44 และรอบสุดท้ายวันที่ 26 ธ.ค.2559 ตามข้อตกลงร่วมของปางช้าง ผลตรวจดีเอ็นเอทั้ง 3 รอบตรงกันทั้งหมด โดยการเก็บตัวอย่างเลือด ดีเอ็นเอ หรือวัตถุพยานที่จัดเก็บมา ใช้วิธีอารักขาวัตถุพยาน (chain of custody) ทั้งนี้ เมื่อส่งตัวอย่างวัตถุพยานมาเก็บที่หน่วยปฏิบัติการนิติวิทยาศาสตร์สัตว์ป่า ต้องแนบใบส่งตัวอย่างจากทีมสัตวแพทย์ผู้ตรวจ ข้อมูลช้างแต่ละตัว ที่ระบุชื่อช้าง เลข ช.ประจำตัวช้าง เลขไมโครชิพและเลขทะเบียนจังหวัดอำเภอ เมื่อเจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการนิติวิทยา ศาสตร์สัตว์ป่า รับตัวอย่างไว้แล้วจะจัดทำฐานข้อมูลลงในคอมพิวเตอร์ พร้อมจัดทำแฟ้มทะเบียน
ส่วนการตรวจพิสูจน์พันธุกรรมเพื่อระบุอัตลักษณ์ช้างจะใช้วิธีการระบุเครื่องหมายพันธุกรรมไมโครแซทเทลไลท์ จำนวน 13 ตำแหน่ง ซึ่งใช้กันทั่วไปในระดับสากล และเป็นวิธีเดียวกัน กับที่สถาบันคชบาลแห่งชาติ โดยผลของพันธุกรรมช้างบ้านแต่ละเชือก ที่ปรากฏเป็นค่าจีโนไทป์ ที่เป็นคู่แอลลีล 2 ค่าในแต่ละตำแหน่ง โดยค่าหนึ่งสืบทอดจากพ่อ อีกค่าหนึ่งสืบทอดจากแม่ สามารถนำไปใช้ระบุตัวและหาความสัมพันธ์ความเป็นพ่อ-แม่-ลูก ได้ ทุกขั้นตอนผ่านเครื่องมือที่ได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับในชั้นศาล ช่วยแก้ปัญหาลักลอบค้าสัตว์ป่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ.-สำนักข่าวไทย