กรุงเทพฯ 13 ก.ค. -“ธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์” ประธานกลุ่มบริษัทไทยแอร์เอเชีย รับสิงหาคมนี้เริ่มบินในประเทศจากต้นทางสุวรรณภูมิ ส่วนมาตรการกระตุ้นธุรกิจท่องเที่ยวผู้ประกอบการสายการบิน จี้รัฐออกมาตรการเร็วและแรง ก่อน 2 เดือนผู้ประกอบการตายเรียบ
นายธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทไทยแอร์เอเชีย กล่าวยอมรับว่าเดือนสิงหาคมนี้สายการบินไทยแอร์เอเชียจะเปิดทำการบินจากต้นทางสนามบินสุวรรณภูมิ หลังจากที่ผ่านมา สายการบินไทยแอร์เอเชียถือเป็น Low Cost Airline รายใหญ่ที่ให้บริการอยู่ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง โดยการเปิดบินดังกล่าวจะมีการนำเครื่องบิน 3-4 ลำ เข้ามาทำการบินเส้นทางพื้นฐานที่มีความต้องการของลูกค้า เช่น เส้นทางสุวรรณภูมิ-เชียงใหม่, หาดใหญ่, ภูเก็ต และขอนแก่น ซึ่งการเพิ่มการบินจากต้นทางสุวรรณภูมินี้ไทยแอร์เอเชียได้ยื่นขออนุญาตจากสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย หรือ กพท.แล้ว
นายธรรศพลฐ์ ย้ำว่าการเปิดบินจากสุวรรณภูมิ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการที่อยู่อาศัยในพื้นที่ใกล้เคียงฝั่งสมุทรปราการ ชลบุรี และสะดวกมาใช้บริการสนามบินสุวรรณภูมิมากกว่าดอนเมือง ประกอบกับขณะนี้ในช่วงที่มีผลกระทบจากโควิด-19 สายการบินอื่นยังไม่กลับมาทำการบินที่สุวรรณภูมิเต็มที่ ซึ่งปัจจุบันมีสายการบินต้นทุนต่ำเพียงรายเดียวที่ให้บริการจากสนามบินสุวรรณภูมิ ดังนั้น การมาทำการบินของไทยแอร์เอเชียก็จะช่วยเติมเต็มความต้องการของผู้โดยสาร และที่สำคัญยังเป็นการเพิ่มรายได้ให้แก่บริษัทในช่วงที่ต้องเร่งหารายได้ เพื่อชดเชยผลกระทบที่เกิดขึ้นในช่วงที่หยุดทำการบินไป โดยทำการบินจากทุกจุดบิน เพื่อให้มีรายได้มากที่สุด
ส่วนประเด็นเรื่องการกลับมาบินเส้นทางระหว่างประเทศนั้น นายธรรศพลฐ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาการคลายล็อก ในส่วนของภาพรวมรัฐได้มีการคลายล็อกไปแล้ว 5 เฟส และหลังจากนี้น่าจะเริ่มกลับมาคิดว่าจะมีการคลายล็อกในส่วนของการบินระหว่างประเทศอย่างไร โดยสามารถทำการบินภายใต้มาตรการเข้มงวดทางด้านสาธารณสุข และเป็นการเริ่มบินลักษณะจุดบินที่เป็นเมืองสำคัญ ปัจจุบันไม่มีการระบาดของโควิดแล้ว ทั้งในภูมิภาคอาเซียน เช่น เวียดนาม สิงคโปร์ที่สถานการณ์ดีขึ้นตามลำดับ รวมทั้งจีน 5-6 เมืองที่ขณะนี้ไม่มีการระบาดแล้ว ซึ่งการเริ่มกลับมาบินแบบจับคู่เมืองกับเมือง ถือเป็นแนวทางดีที่สุดที่จะทำให้ธุรกิจการท่องเที่ยว รวมถึงธุรกิจการบินกลับมาฟื้นตัวได้
ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทไทยแอร์เอเชีย กล่าวด้วยว่า ผลกระทบจากโควิด-19 จนถึงขณะนี้อาจส่งผลกระทบรุนแรงกว่าที่ภาครัฐหรือหลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ โดยจากการหารือกับผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมท่องเที่ยวและอื่น ๆ ยอมรับว่าภายใน 1-2 เดือนข้างหน้า ถือว่าเป็นช่วงวิกฤติว่าธุรกิจท่องเที่ยวของไทยจะเป็นอย่างไร ขณะที่มาตรการเยียวยาของภาครัฐยังไม่ทั่วถึง หากผู้ประกอบการอุตสาหกรรมท่องเที่ยวต้องล้มหายตายจากไป โรงแรมต้องปิดตัวลงไปมากกว่านี้ ผู้ประกอบการทัวร์ท่องเที่ยวต้องปิดตัวอีก ร้านอาหาร และธุรกิจต่อเนื่องอื่น ๆ ล้มไป ก็อาจทำให้ไทยกลายเป็นประเทศที่ขาดโครงสร้างพื้นฐานด้านอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ซึ่งที่ผ่านมาเคยทำรายได้ปีละ 3 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 13 ต่อจีดีพี
“ย้ำว่าภาครัฐต้องออกมาตรการเร็วและแรง เพื่อรับวิกฤติที่จะเกิดขึ้นใน 2 เดือนข้างหน้า เพราะหากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยต้องขาดโครงสร้างพื้นฐานที่จะรองรับในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเหล่านี้ไป การกลับมาเริ่มต้นใหม่ จะไม่ใช่เรื่องง่าย” นายธรรศพลฐ์ กล่าว
ส่วนอุตสาหกรรมการบินนั้น นายธรรศพลฐ์ กล่าวว่า สถานการณ์ปัจจุบันผู้ให้บริการสายการบินต่าง ๆ ยังมีอัตราบรรทุกผู้โดยสารเฉลี่ยต่อเที่ยวบินไม่ถึงร้อยละ 50 และหากสถานการณ์ด้านการท่องเที่ยวยังไม่ปรับตัวดีขึ้นภายใน 1-2 เดือนข้างหน้าก็จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยยอมรับว่าในอนาคตผู้ให้บริการสายการบินในประเทศไทยจะมีการปรับฐานมีผู้ประกอบการลดน้อยลงแน่นอน.-สำนักข่าวไทย