สธ.ยัน ศบค.เปิดเฉพาะผู้ป่วยต่างชาติปลอดโควิด เข้ามารักษาในไทย

สธ.5 ก.ค.- สธ.ยืนยัน ศบค.อนุญาตให้ผู้ป่วยต่างชาติและผู้ติดตามเข้ามารักษาพยาบาลด้วยโรคที่มีความจำเป็นเร่งด่วนในไทย  เพื่อสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศ แต่ต้องไม่ใช่ผู้ป่วยโรคโควิด-19 โดยต้องถือปฏิบัติตามมาตรการของทางการไทย มีผลตรวจยืนยันว่าปลอดโควิดก่อนเข้ามาไม่เกิน 72 ชั่วโมง เมื่อเข้ามาแล้วต้องมีการตรวจซ้ำอีก 3 ครั้ง และกักตัว 14 วันในสถานพยาบาลทางเลือกที่ร่วมโครงการกับรัฐ  เพื่อความปลอดภัยและเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่นำเชื้อมาแพร่ระบาดในไทย 


เมื่อวันที่ 4 ก.ค.63  นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.มีมติเมื่อวันที่ 30 มิ.ย.63 ออกมาตรการให้ผู้ไม่มีสัญชาติไทย เข้ามารักษารักษาพยาบาลในประเทศไทยได้ เพื่อสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศตามนโยบายเมดิคัลฮับ (Medical Hub)  โดยในเฟสแรกต้องเป็นกลุ่มที่มีความจำเป็นเร่งด่วนและเป็นผู้ป่วยที่มีประวัติรักษาต่อเนื่องกับสถานพยาบาลในไทยอยู่เดิม แต่ไม่ใช่กรณีเข้ามาเพื่อรักษาโรคโควิด-19 โดยต้องมีการนัดหมายไว้ล่วงหน้าเท่านั้น รับเฉพาะที่เดินทางเข้ามาทางอากาศ จำกัดจำนวนผู้ติดตามไม่เกิน 3 คน  

หลักเกณฑ์ที่สำคัญ  คือทั้งผู้ป่วยและผู้ติดตามต้องแสดงใบรับรองแพทย์ยืนยันว่าไม่มีเชื้อโรคโควิด-19 ด้วยวิธีการตรวจแบบ RT-PCR ในระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมง ก่อนการเดินทางเข้ามา เมื่อเข้ามาแล้วต้องกักกันตัวในห้อง Isolation ward (ห้องเดี่ยว) ในสถานพยาบาลเดียวกัน เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 14 วัน และต้องมีการตรวจด้วยวิธี RT-PCR   อีกจำนวน 3 ครั้ง ครั้งที่ 1 เมื่อเดินทางมาถึงสถานพยาบาล ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 5-7 และครั้งที่  3 ระหว่างวันที่ 13-14 ของระยะเวลาที่กักกัน ที่สำคัญต้องมีกรมธรรม์ประกันภัยที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพและรักษาพยาบาลกรณีโรคโควิด-19 ต้องมีเอกสารหลักฐานทางการเงินที่แสดงถึงหลักประกันว่าสามารถรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอื่นใดที่เกิดขึ้นทั้งหมดเอง และมีเอกสารรับรองหรือใบนัดหมายการรักษากับสถานพยาบาลในไทย 


ทั้งนี้ หากแผนการรักษาเสร็จสิ้นก่อน 14 วัน  สถานพยาบาลต้องกักกันตัวผู้ป่วยและผู้ติดตามต่อจนครบ 14 วัน  และตรวจยืนยันว่าไม่มีโรคโควิด-19 จึงจะอนุญาตให้ออกจากสถานพยาบาลได้ และอาจอนุญาตให้กลุ่มดังกล่าวไปในพื้นที่ท่องเที่ยวที่กำหนดได้ ซึ่งคาดว่าจะก่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างรายได้ให้กับประเทศ

“ตลอดเวลาที่อยู่ในประเทศไทย ผู้ป่วยและผู้ติดตามต้องดาวน์โหลดระบบติดตามตัวหรือติดตั้งแอปพลิเคชันตามที่ราชการกำหนด เพื่อใช้ในการเฝ้าระวังและติดตามอาการทุกวัน กระทรวงสาธารณสุขขอยืนยันว่าตลอดเวลาระยะการรักษาพยาบาล กลุ่มผู้ป่วยและผู้ติดตามดังกล่าวจะไม่สามารถออกนอกสถานที่กักกันได้ จนกว่าจะมั่นใจกว่าปลอดเชื้อโรคโควิด-19 เพื่อให้เป็นไปตามมาตรการการป้องกันและควบคุมโรค หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโรงพยาบาลทางเลือก หรือ Alternative Hospital Quarantine (AHQ) ซึ่งเป็นสถานกักกันตัว สามารถดูรายละเอียดได้ทาง www.hss.moph.go.th  และ สอบถามได้ที่สายด่วนกรม สบส.1426” นพ.ธเรศ กล่าว. –สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

อดีตครูจำใจสร้างห้องขังในบ้าน เตรียมคุมลูกติดยา

สลด! อดีตครูวัย 64 ปี จำใจจ้างช่างทำห้องคล้ายกรงขังในบ้าน เตรียมคุมลูกติดยา-พนันออนไลน์ หลังส่งตัวบำบัดกว่า 10 ครั้ง แต่ออกมาก็เหมือนเดิม

หนุ่มใหญ่ควบเก๋งเผลอเหยียบผิดพุ่งทะลุกำแพงอาคารจอดรถดิ่งตกจากชั้น 2

หนุ่มใหญ่ควบเก๋งเผลอเหยียบผิดพุ่งทะลุกำแพงอาคารจอดรถดิ่งตกจากชั้น 2 โชคดีบาดเจ็บเล็กน้อย เจ้าหน้าที่ส่งรักษาตัวที่ รพ.เจ้าพระยา

อาม่าแจ้งความ “หมอดูฮวงจุ้ยชื่อดัง” หลอกทำพิธีสูญ 60 ล้าน

อาม่าวัย 77 ปี โร่แจ้งความเอาผิด “หมอดูฮวงจุ้ยชื่อดัง” หลอกทำพิธี-แนะซื้อวัตถุมงคลแล้วไม่ได้รับของ สูญเงินกว่า 60 ล้านบาท

ข่าวแนะนำ

ทนายตั้ม

“ทนายตั้ม” ปรากฏตัวแล้ว บอกไม่สบายใจมี ตร.เฝ้าหน้าบ้าน

ปรากฏตัวแล้ว “ทนายตั้ม” พบตำรวจเหตุมีเจ้าหน้าที่ไปเฝ้าที่บ้าน พร้อมแจงปมเงิน 39 ล้านบาท ค่าศิลปินจีน ที่แท้เป็นมิจฉาชีพหลอก “เจ๊อ้อย” ปฏิเสธพบคู่กรณี บอกยังไม่พร้อมคุย

เกาะกูด

“ภูมิธรรม” ย้ำจะรักษาผลประโยชน์ทางทะเลของไทยไว้เท่าชีวิต

“ภูมิธรรม” มอง MOU44 คือกลไกที่ดีที่สุด ก่อนย้อนกลุ่มการเมือง พปชร.ไปถามหัวหน้าพรรคตัวเอง เพราะเป็นคนนำเจรจาในปี 57 ยันไม่เคยยกเลิกในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ ย้ำรัฐบาลจะรักษาดินแดน-ผลประโยชน์ทางทะเลของไทยไว้เท่าชีวิต

US election

ทรัมป์-แฮร์ริส หาเสียงวันสุดท้าย ก่อนหย่อนบัตรวันนี้

ขณะนี้เหลือไม่ถึง 24 ชั่วโมงก็จะถึงวันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 5 พฤศจิกายน ผลสำรวจความเห็นประชาชนต่างชี้ว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ และนางคอมมาลา แฮร์ริส