รัฐสภา 4 ก.ค. -สภาฯ รับร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2564 วาระแรก ฝ่ายค้าน 200 เสียงโหวตคว่ำ ขณะที่ธนาธรโผล่นั่ง กมธ. ด้านสุทิน ท้านายกฯ หากรัฐบาลบริหารเศรษฐกิจไม่ได้ตามเป้า จีดีพีโตไม่ถึงร้อยละ 5 ตามที่คาดการณ์ไว้ ให้ลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งนายกฯขอบคุณสมาชิกผ่านร่าง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 ด้วยคะแนน 273 เสียง ไม่เห็นชอบ 200 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง และตั้งกรรมาธิการวิสามัญ 72 คน โดยพรรคก้าวไกล เสนอนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ร่วมด้วย
ทั้งนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อภิปรายสรุปว่า ต้องให้ความเป็นธรรมกับรัฐบาลด้วยเนื่องจาก GDP ในปี 2554 การเติบโต 0.8 แล้วไปขึ้นในช่วงนโยบายรถคันแรก และจำนำข้าว แล้วค่อยมาลดลงเป็นปกติ ในปี 2556 มาเป็น 2.7 และปี 2557 เป็น 1% แต่ตนไม่ได้เป็นคนทำงบประมาณช่วงที่เกิดความขัดแย้งจนใช้งบประมาณไม่ได้ แล้วตนก็เข้ามาแก้ไขปัญหาตอนนั้น ปี 2558 เป็น 3.1% ปี 2559 เป็น 3.4% ปี 2560 เป็น 4.0% ปี 2561 เป็น 4.1% ในช่วงนี้มีการลงทุนการเจริญเติบโตในหลายประเทศโดยการมีการลงทุนใน EEC ซึ่งกำลังเดินหน้ามาด้วยดี แต่ไปเจอสงครามการค้าในปี 2562 แล้วเจอก็โควิดปี 2563 เราต้องยอมรับว่าเป็นสถานการณ์ที่คาดการณ์ไม่ได้ รัฐบาลพยายามแก้ปัญหาอย่างเต็มที่ การทำงบประมาณใหม่ไม่ทราบว่าทำได้หรือไม่ได้ก็แล้ว แต่การใช้งบฟื้นฟูมาบริหารราชการปกติไม่น่าจะทำได้ ขอให้มาพิจารณากันต่อในชั้นกรรมาธิการ ในนามรัฐบาลขอขอบคุณสมาชิกที่พิจารณา ทั้งนี้งบประมาณในปี 2564 เป็นการวางรากฐานในการพัฒนาและแก้ปัญหาทุกด้าน ดูแลผู้มีรายได้น้อยเกษตร แหล่งน้ำ ตามงบประมาณที่มีอยู่ให้มากที่สุด เสริมสร้างความเข้มแข็งให้ทุกส่วนเพื่อยกระดับประเทศให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ตลอดจนนโยบายต่างๆ มุ่งเน้นการส่งเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศสร้างความเป็นธรรมลดความเหลื่อมล้ำในทุกมิติ เพราะต้องเดินหน้าต่อไปในเรื่องของการพัฒนาศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ตลอดจนสร้างความสมดุลและยั่งยืนของฐานทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งนี้เพื่อให้การพัฒนาประเทศมีความสมดุลทุกด้านบรรลุเป้าหมายที่ร่วมกันที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพและความซับซ้อนมีการกระจายผลประโยชน์ต่อประชาชนโดยตรงทั่วถึงเป็นธรรมตามที่มีอยู่ให้มากที่สุด และมุ่งหวังให้การใช้จ่ายของแผ่นดินเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติและประชาชน ส่วนข้อเสนอและข้อติติงต่างๆ ตนรับได้และขอกรรมาธิการวิสามัญนำไปพิจารณาให้รอบคอบมากยิ่งขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าช่วงท้ายการอภิปรายที่มีขึ้นในช่วงดึกวานนี้ (3 ก.ค. ) นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย และประธานวิปฝ่ายค้าน อภิปรายว่าการพิจารณางบประมาณปีนี้มีความสำคัญ เพราะเงินจากต่างประเทศซึ่งเป็นรายได้กว่าร้อยละ 70 ของจีดีพี หายไป ไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามา จึงมีแต่งบประมาณแผ่นดินเท่านั้นที่จะใช้ขับเคลื่อนประเทศ พร้อมเห็นว่านายกรัฐมนตรีมีพัฒนาการทางอารมรณ์ดีขึ้น แต่ไม่แน่ใจเรื่องพัฒนาการทางปัญญา เพราะอาจถูกข้าราชการ รัฐมนตรี หรือพรรคร่วมรัฐบาลหลอก เพราะสิ่งที่ประชาชนคาดหวังกับการจัดการร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 มี 3 เรื่องคือ สภาพเศรษฐกิจและสังคมไทยปี 2564 , การแก้ปัญหาที่ตรงจุดหรือไม่ และถ้าไม่ตรงจุดจะต้องทำอย่างไร ขณะที่สิ่งที่ต้องเจอในอนาคตเรียกว่า “ประยุทธภัย” คนไทยต้องเผชิญหนี้ 5 ประเภทคือ 1.หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 60 ของจีดีพี 2.หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 80 ของจีดีพี 3.หนี้ภาคธุรกิจ เจ๊ง ล้มละลายมากขึ้น 4.หนี้เสียในระบบการเงินหรือ NPL มากขึ้น และ 5.ปัญหาหนี้นอกระบบ เข้าสู่อาณาจักรนักเลง ดอกเบี้ยโหด ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่คนไทยจะต้องเผชิญในปี 2564
นายสุทิน ยังเปรียบเทียบงบประมาณรายจ่ายรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา รวม 20 กว่าล้านล้านบาท ขณะที่รัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร รวม 10 กว่าล้านล้านบาท แม้บริบทจะต่างกัน แต่ให้ดูที่ผลงอกเงยทางเศรษฐกิจหรือไม่ โดยสามารถเทียบได้จากจีดีพีและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน โดยก่อนสถานการณ์โควิด-19 จีดีพีลงมาต่ำเกือบติดลบ 2 ถึง 3 แต่รัฐบาลนายทักษิณเจอทั้งการใช้หน้า IMF ใช้หนี้ สึนามิ โรคซา หวัดนก แต่ปี 2545 จีดีพีโตร้อยละ 1.5 , ปี 2546 ใช้งบประมาณลดลง แต่จีดีพีสูงถึงร้อยละ 9.6 , ปี 48 และ 49 สามารถจัดงบประมาณสมดุล ไม่ต้องกู้เงินขาดดุลงบประมาณ
นายสุทิน กล่าวว่า ปี 2564 จะเป็นปีที่หลายคนบอกว่าเผาจริง และอาจจะลอยอังคารในปีเดียวกัน ซึ่งวันนี้สมาชิกพูดกันทั้งวันว่าอีก 3 เดือนจะมีวิกฤตใหญ่ กูรูด้านเศรษฐกิจบอกว่า จะมีความเสี่ยงต่อฐานะการคลังของประเทศ ถ้าเก็บรายได้ไม่เข้าเป้า ซึ่งธรรมดาแล้วต้องไปเอาเงินคงคลังมาใช้ แต่วันนี้สถานะเงินคงคลังก็เริ่มไม่ดี ง่อนแง่น แม้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ บอกว่าฐานะการคลังดีมาโดยตลอด แต่ชาวบ้านถามกันมาเยอะว่าถ้าฐานะการคลังของประเทศดี ทำไมประชาชนเป็นหนี้เยอะ ทำไมคุณภาพชีวิตประชาชนเป็นอยู่แบบนี้ และที่ชัดเจนที่สุดคือเมื่อเจอสถานการณ์โรคติดเชื้อโควิค 19 ทำไมต้องกู้เงินทันที หากสถานะการคลังของประเทศดีอยู่ ในแง่การจัดงบประมาณ นายสุทิน กล่าวว่า หลายคนคิดตรงกันว่าไม่ตอบโจทย์การใช้จ่ายงบประมาณตามเป้าหมายและสถานการณ์ มีการประมาณการเศรษฐกิจผิดพลาด บอกเศรษฐกิจจะโตร้อยละ 5 ในปี 2564 ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ที่ลบร้อยละ 8 จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะกระโดดไปเป็นร้อยละ 5 แม้นายสมคิดบอกว่าจะเป็นมังกรบิน แต่ก็บินอยู่แค่ก้นเหว เพราะไม่มีเงินจากต่างประเทศ ไม่มีเงินลงทุน จึงจากมังกรเลยจะกลายเป็นแมงหวี่ และที่ประเมินผิดอีกคือการประมาณการรายได้ 2.7 ล้านล้านบาท เพราะโอกาสจะเก็บภาษีเข้าเป้าเป็นไปได้ยาก
ส่วนงบประมาณด้านความมั่นคง นายสุทิน กล่าวถึง การจัดซื้อเฮลิคอปเตอร์ 2 ลำ ในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2564 ในอินเทอร์เน็ตสำนักข่าวอิสราบอกราคาซื้อขาย 200 กว่าล้านบาทต่อลำ แต่กองทัพตั้งงบประมาณถึงลำละ 800 กว่าล้านบาท ซึ่งไม่ตอบโจทย์และอาจเข้าข่ายการทุจริต
นายสุทิน กล่าวว่า แม้นายกรัฐมนตรีน้อยใจ คนบอกว่าเป็นนักกู้แห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา ก็เป็นเรื่องจริง เพราะมีการกู้ทุกปี และปีหน้าจะตั้งฉายานักกู้แห่งภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก แต่ถ้ากู้มาแล้ว ก็ขอทำให้จีดีพีโตด้วย โดยขอให้ทบทวนปรับงบประมาณฉบับนี้ใหม่ ไปจัดทำตัวร่างใหม่หรือปรับในชั้นกรรมาธิการ เพราะยังมีงบประมาณปี 2563 และเงินจากพระราชกำหนดกู้เงินอยู่แล้ว และขอให้คิดเหมือนองค์กรขนาดใหญ่ มีการประกันคุณภาพการบริหาร ให้คิดว่างบประมาณปี 2564 เป็นแผนฟื้นฟูเหมือนการบินไทย หากผู้บริหารทำไม่ได้ตามเป้าก็ปลดทิ้ง โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ควรสร้างความเชื่อมั่นรับประกันว่า ถ้าจีดีพีโตไม่ถึงร้อยละ 5 หนี้สาธารณะแตะร้อยละ 60 หนี้ครัวเรือนแตะร้อยละ 85 ของจีดีพีเมื่อไร จะแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น เป็นการการประกันคุณภาพทางการเมือง.- สำนักข่าวไทย