กทม. 26 มิ.ย. – การหนีคดีไปต่างประเทศของนายวรยุทธ อยู่วิทยา ทำให้ตำรวจและอัยการต้องใช้กฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน ประสานงานติดตามตัวกลับมาดำเนินคดี ซึ่งพบว่ามีอุปสรรคในการพิสูจน์ทราบที่อยู่ที่ชัดเจน และผู้ต้องหาหลบหนีไปหลายประเทศ ขณะที่บางประเทศไม่ได้มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับไทย กระบวนการจึงซับซ้อนมากขึ้น
คดีที่นายวรยุทธ อยู่วิทยา ทายาทเครื่องดื่มชูกำลังขับรถชนตำรวจเสียชีวิต เป็นอีกคดีที่ยังไม่สามารถติดตามตัวมาดำเนินคดีได้ หลังผู้ต้องหายังหลบหนีอยู่ในต่างประเทศ ทำให้คดีทยอยหมดอายุความ และเหลือเพียง 1 คดี คือ ขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ที่ภายใน 7 ปี ก็จะหมดอายุความลงเช่นกัน
รองโฆษกสำนำงานอัยการสูงสุด ระบุว่า กระบวนการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาที่หลบหนีไปต่างประเทศ ต้องอาศัยสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน การติดตามตัวผู้ร้ายข้ามแดน ต้องสืบหาที่อยู่ผู้ต้องหาให้ชัดเจนและคดีที่ก่อต้องเข้าองค์ประกอบความผิดอาญาของทั้งสองประเทศ และอาจมีขั้นตอนซับซ้อนมากขึ้น หากประเทศปลายทางไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับไทย
ปัจจัยที่ทำให้การติดตามตัวผู้ต้องหาที่หลบหนีไปต่างประเทศยากขึ้น คือการไม่สามารถพิสูจน์ทราบที่อยู่ที่ชัดเจนของผู้ต้องหาในต่างประเทศได้ หรือหากมีที่อยู่แน่ชัด แต่กระบวนประสานงานล่าช้า ทำให้ผู้ต้องหาเดินทางหลบหนีไปประเทศอื่น
เมื่อถามว่าที่ผ่านมามีการประสานขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนไปยังประเทศใดบ้างที่พบว่านายวรยุทธปรากฏตัว รองโฆษกสำนำงานอัยการสูงสุด ระบุว่า ไม่สามารถตอบได้ เป็นการทำงานของตำรวจที่ประสานงานกับตำรวจสากลอย่างใกล้ชิด เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทำงานอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในกรณีคดีที่ใกล้หมดอายุความเช่นคดีนี้ ต้องเร่งรัดนำตัวผู้ต้องหากลับมาดำเนินคดีในประเทศให้ได้ เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมของไทยคงความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะกับคดีที่ผู้ต้องหาเป็นผู้มีฐานะ มีศักยภาพและมีทุนทรัพย์ในการเดินทางย้ายประเทศเพื่อหนีคดี. – สำนักข่าวไทย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
► ผลพวงคดี “ทายาทเครื่องดื่มชูกำลัง” ขับรถชนตำรวจเสียชีวิต