อนาคตสื่อไทย หลังโควิด-19

กทม. 16 มิ.ย.- ในยุคที่สื่อสารมวลชน มีการปรับตัวการทำงานจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี มาอย่างหนักช่วงที่ผ่านมา เมื่อเจอกับสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ยิ่งทำให้เปลี่ยนรูปแบบการทำงาน หลังจากเหตุการณ์นี้กำลังคลี่คลาย อนาคตของสื่อไทยจะเป็นอย่างไร ผ่านมุมมองจากคนทำสื่อและนักวิชาการ



นายประณต วิเลปสุวรรณ  ผู้อำนวยการสถานีไทยรัฐทีวีและผู้อำนวยการฝ่ายบรรณาธิการทีวี ในฐานะผู้บริหารสื่อทีวีดิจิทัล มองอนาคตการทำงานของสื่อหลังเหตุการณ์โควิด-19 ว่า สื่อก็เหมือนกับธุรกิจอื่นๆที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์โควิด-19 ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน แม้ไทยรัฐทีวีจะได้รับความนิยมจากผู้ชมในช่วงเหตุการณ์โควิดสูง จนทำให้เรตติ้งของช่องขยับขึ้นมาอยู่ในลำดับต้นๆ แต่รายได้จากเม็ดเงินโฆษณาก็ลดลงไปอย่างมากจากวิกฤตที่เกิดขึ้น ขณะที่ค่าใช้จ่ายยังคงมีอยู่คงที่และเพิ่มขึ้นทั้งเงินเดือนพนักงาน การซื้ออุปกรณ์ป้องกัน เพิ่มประกันสุขภาพ ไปจนถึงค่าใช้จ่ายหลักคือสัมปทานที่ต้องจ่ายในแต่ละปี

“จะเห็นได้ว่าในช่วงที่ยังไม่เกิดเหตุการณ์โควิด-19 สื่อทีวีดิจิทัลก็อยู่ในสภาวะลำบากอยู่แล้ว หลายช่องต้องปิดตัวกันไปจากเม็ดเงินโฆษณาที่มีอยู่อย่างจำกัด


เมื่อต้องมาเจอกับสภาวะเช่นนี้ ยิ่งซ้ำเติมทีวีดิจิทัลเข้าไปอีก การดำรงอยู่ของแต่ละสถานีจึงเป็นไปด้วยความยากลำบากอย่างยิ่ง”

สำหรับรูปแบบการทำงานสื่อที่ปรับตัวในช่วงโควิดทั้งเว้นระยะห่างฯ WFH ไลฟ์สตรีมมิ่ง สัมภาษณ์แหล่งข่าวผ่านสื่อออนไลน์ ฯลฯ ผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี มีความเห็นว่า เชื่อว่าคนทำสื่อทุกคนทราบดีว่าควรจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรตราบเท่าที่เรายังไม่มีวัคซีน และเห็นด้วยกับการใช้ทุกวิธีเพื่อเว้นระยะห่างระหว่างแหล่งช่าวและผู้สื่อข่าว ที่ผ่านมาทางสถานีได้ออกระเบียบสำหรับผู้ปฏิบัติงานภาคสนามและผู้ปฏิบัติภายในองค์กรให้ตระหนักถึงอันตรายที่คาดไม่ถึง  มีการให้อุปกรณ์ป้องกันสำหรับผู้ที่ออกไปปฏิบัติงาน และผู้ที่ทำงานอยู่ในสถานี ซึ่งยังจะคงมาตรการนี้ไปจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

แน่นอนว่าช่วงโควิด-19 สื่อบางแห่งปรับขยับองค์กรให้เล็กลง บางแห่งเลิกจ้างพนักงานจำนวนมาก ประณต มองว่า หลังจากนี้ คือสถานการณ์ที่เรียกว่า”เผาจริง”ของทุกสื่อ ทุกธุรกิจ เชื่อว่าไม่มีผู้บริหารคนไหนอยากปลดหรือเลิกจ้างพนักงาน แต่เพื่อความอยู่รอดขององค์กร แต่ละองค์กรอาจเลือกตัดสินใจแตกต่างกันไป บางที่อาจใช้จังหวะนี้ทำองค์กรให้กระชับ เล็กลง เพื่อให้กิจการผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายนี้ไปให้ได้ บางแห่งอาจเลือกปรับหรือลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง มันเป็นสภาวการณ์ที่อยากบอกกับคนสื่อทุกคนว่า ต้องปรับตัวและฝ่าฟันกับสถานการณ์เลวร้ายนี้ไปให้ได้ และหากเป็นไปได้อยากให้ทบทวนเม็ดเงินที่ต้องจ่ายเป็นค่าสัมปทานให้กับ กสทช.อีกสักรอบ เพื่อนำมาประคองบุคลากรในวงการทีวีดิจิทัล ไม่ให้เป็นหนึ่งในอีกหลายล้านคนที่ต้องถูกเลิกจ้าง

รศ.พนา ทองมีอาคม กรรมการกองทุนสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ มีความเห็นต่ออนาคตสื่อไทยหลังเหตุการณ์โควิด-19 ว่า ช่วงที่ผ่านมาสื่อมวลชนไทย จำเป็นต้องปรับตัวเองตามโซเชียลและเทคโนโลยี เป็นกระบวนการปรับตัวที่เริ่มมาก่อนหน้ายุคโควิด เมื่อเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่วนตัวมองว่าสื่อไทยต้องปรับตัวใน 4 อย่าง หลังเหตุการณ์ คือ 1.เมื่อเกิดโรคระบาดโควิดฯ คนต้องการความรู้เพราะเป็นเรื่องของชีวิต เพื่อนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน ตัวอย่างที่เห็นชัดๆ คือ เรตติ้งช่อง 11 สูงขึ้นมาก เพราะคนติดตามข่าวสารความรู้ที่ถ่ายทอดจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ หลักๆ ผู้ที่มาออกอากาศจะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ถ้าเรามองกลับไปในอดีตคนเรามักไม่ให้ความสนใจความรู้มากนัก แต่ต่อไปคนจะเสพข่าวความรู้มากกว่าเสพข่าวบันเทิง เปลี่ยนแปลงจากข่าวที่เน้นอารมณ์ความรู้สึก เป็นข่าวสารความรู้มากขึ้น แต่จะไม่ได้เป็นรูปแบบสุดโต่ง จะเปลี่ยนแปลงเป็นแบบผสมผสาน ดังนั้นการทำข่าวต้องเจาะลึก ค้นหาความจริงมากขึ้น

      

2.ความสำคัญของปัจจัยเรื่องเวลากับความถูกต้อง ในอดีตสังคมกว้าง แต่การสื่อสารไม่เชื่อมถึงกัน เมื่อเกิดเหตุการณ์หนึ่งกว่าจะรู้อีกนาน  คุณค่าของสื่อจึงเน้นที่ความรวดเร็ว จะแข่งขันกันที่ความรวดเร็ว  แต่อนาคตความเร็วเป็นของที่หาได้มากมายในสังคมโซเชียล เมื่อเกิดอะไรขึ้นสังคมจะรู้เร็วมาก ดังนั้นความฉับไวจะเป็นอุปสรรคน้อยลง แต่ความถูกต้องแม่นยำจะต้องมีมากขึ้น ปัจจุบันคนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ด้วยตัวเองอย่างรวดเร็ว มีนักข่าวภาคประชาชนเต็มไปหมด  คุณค่าของสื่อจึงอยู่ที่ความแม่นยำและถูกต้อง ต้องมีการตรวจสอบข่าวรายละเอียดที่ยืนยันว่าถูกต้องจริง

     

3.วิถีชีวิตของผู้คนหลังโควิดจะเปลี่ยน เป็นการใช้ชีวิตที่ระมัดระวังขึ้น ทำให้คนหยุดคิด เห็นภัยต่างๆว่าอยู่ใกล้ตัวมากยิ่งขึ้น ผู้คนมีความมั่นคงน้อยลง สะท้อนออกมาให้เห็นว่างานและเงินหายไป ดังนั้นคนจะกลับมาอดออมมากขึ้น จุดนี้ทำให้เกิดการประหยัด แสวงหาความบันเทิงที่มีสาระมากขึ้น ไม่ฟุ้งเฟ้อขาดความระมัดระวัง คนจะเสพสื่อที่เป็นสาระมากกว่าบันเทิง รูปแบบนี้อาจทำให้ผู้ประกอบการสื่ออาจจะไม่ได้เงินทันที แต่จะได้ในระยะยาว สื่อในยุค New Normal ต้องตอบสนองแนวทางการแสวงหาข้อเท็จจริง เสนอบันเทิงที่ไม่ได้ฟุ้งเฟ้อ ไม่ยั้งคิด สื่อต้องตอบสนองเรื่องปัญญา หมายความว่าต้องเจาะข่าวให้มากขึ้น

     

4.สื่อต้องปรับโดยให้คุณค่าการทำงานของสื่อมากขึ้น ในอดีตไม่เห็นคุณค่าของคนเก่ง เน้นคุณค่าความสามารถตอบสนองความต้องการของเจ้าของกองบรรณาธิการ เน้นเร็วราคาถูก ดังนั้นจะให้ความสำคัญนักข่าวใหม่ๆ ที่ความรู้ไม่มาก จะเห็นได้จากข่าวโควิด เมื่อนักข่าวพัฒนาตัวเองยังไม่พอ ขาดความรู้ที่แท้จริง ทำให้ข่าวเป็นกลางๆ ดังนั้นต้องปรับทิศทางให้คนทำสื่อต้องมีความรู้มีฝีมือมากขึ้น สื่อจึงต้องลงทุนด้านคนมากขึ้น 

      

“วิชาชีพสื่อจะยังอยู่ แต่รูปแบบจะเปลี่ยน เพราะมนุษย์ยังต้องการข้อมูลข่าวสาร สื่อนับว่าเป็นโครงสร้างพื้นฐานหนึ่งในสังคมสื่อเองต้องปรับตัวตลอดเวลา ซึ่งรายได้ก็เป็นส่วนหนึ่งในกำหนดหนึ่งถึงความอยู่รอด”

 ดร.สิขเรศ ศิรากานต์ นักวิชาการอิสระด้านสื่อดิจิทัลและสื่อใหม่ แสดงความเห็นของคำว่า New Normal ในวงการสื่อว่า ก่อนจะไปใช้  New Normal ของสื่อนั้นต้องมองก่อนว่าสื่อคืออะไร ในแง่ของจริยธรรมการประกอบวิชาชีพ อุตสาหกรรมสื่อ หน้าที่ของเราคืออะไร ไม่เช่นนั้นจะหลงทาง ก่อนหน้านี้ในยุคดิจิทัล ไปมุ่งที่เว็บไซต์-ยุคทีวีดิจิทัล โซเชียลมีเดียในรอบ10 ปีซึ่งเป็นช่องทางไม่ถูก ปัจจุบันเว็บไซต์ของเราพัฒนาไปถึงไหนต่อให้มีการพัฒนามากแค่ไหน ถ้าเรายังไม่มีแพลตฟอร์มของเราก็พัง

      

“ในยุคโซเชียลฯมีผู้ประกอบการได้กำไรแค่ในระดับหน่วยเปอร์เซนต์ของรายได้ที่มีถ้าจะบอกว่าจะค้นหาสื่อยุค New Normal แล้วต้องมีการปรับตัว เราหาความปกติของสื่อให้ได้ก่อน ที่ผ่านมาก็ไม่ปกติอยู่แล้ว ตอนนี้จะปรับตัวไป New Normal ให้ได้ผลกำไร ในแง่วิชาชีพสื่อช่วง 4-5 ปีมานี้ก็ไม่ปกติอยู่แล้ว ทั้งศีลธรรม จริยธรรม ถ้าเรายังหาคำว่าปกติไม่ได้ เราก็จะหาสมดุลของเราไม่ได้เลย เป็นความสมดุลของธุรกิจ ระบบใหม่จะปรับไปได้หรือไม่ สภาวะ New Normal จะอยู่ไป 3 เดือนหรือ 1 ปี”

      

ดร.สิขเรศ เห็นว่าคำว่า New Normal เป็นวาทกรรมอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน อุตสาหกรรมสื่อมีวิวัฒนาการตลอดเวลา แต่ที่ผ่านมามีการลดระยะการปรับตัวจากรอบรายปีเป็นรายเดือนเป็นเรื่องปกติไม่ได้ปกติใหม่ เป็นวิวัฒนาการที่เร็วมากยิ่งขึ้น สังเกตว่าในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมาในสื่อทีวีไม่มีอะไรใหม่เลย อาจจะมีเทคโนโลยีในบางอุตสาหกรรมฯ เช่น คอนเสิร์ตโดยซูม แต่ก็เป็นครั้งคราวไม่ได้ก่อให้เกิดรายได้ กลายเป็นความคุ้นชิน การใช้ซูม ไม่ได้มีประสิทธิภาพ ในแง่การสื่อสารเป็นมิติสื่อสารระหว่างบุคคล  การปรับตัวของเราไม่มีอะไรใหม่ ถึงเราจะใช้เทเลคอนฯหรือคอนเสิร์ตซูม ก็ไม่สามารถมาทดแทนความรู้สึก ไม่ตอบโจทย์ในความเป็นมนุษย์ เป็นไปไม่ได้เลย

   

อนาคตของสื่อไทยหลังโควิดฯเป็นอย่างไร ดร.สิขเรศ มองว่าสื่อยังคงทำเหมือนเดิม New Normal เป็นเพียงยกระดับทางวาทกรรม หลังโควิดฯการผลิตรายการหนีเข้าสถานีมากขึ้น ยืดระยะเวลาออกอากาศในการเล่าข่าว 2-3 ชั่วโมง ตนจึงตั้งคำถามว่าในการทำงานมีอะไรใหม่ เป็นการขยับเพื่อหนีตาย ประหยัด ลดต้นทุน ขอความเห็นใจจากประชาชน ส่วนสื่อวิทยุแทบไม่มีอะไรปรับเปลี่ยน บางแห่งสลับทำงานที่บ้าน สื่อออนไลน์ ตราบใดที่ไทยยังไม่มีแพลตฟอร์มเป็นของตัวเอง ทำคอนเทนต์ดีๆ ก็ต้องไปอาศัยแพลตฟอร์มของต่างชาติ 

      

“สุดท้ายสื่อไทย ยังอยู่ในวังวนหมือนเดิม ย้ำที่เดิม ถ้าไม่ปรับแนวคิดวิชาชีพ กระบวนการทำงานลดลง การสร้างประโยชน์ทางธุรกิจลดลง สื่อต้องยอมรับให้ได้ ช่วงเกิดโควิดฯไทยรัฐทีวี ถือโอกาสปรับโครงสร้าง ค่าใช้จ่ายลดลง เป็นโอกาสให้นายทุนลดค่าใช้จ่าย สื่อจะอยู่ได้ ต้องปรับองค์กรให้กระชับมากขึ้น ไม่เทอะทะ ให้เป็นองค์กรที่เล็ก สามารถจรยุทธ์ได้อย่างรวดเร็ว จะเป็นองค์กรที่ใหญ่โตไม่ได้แล้ว  นี่เป็นโอกาสทองในการปรับลดให้เล็กลง”.-สำนักข่าวไทย

บทความพิเศษ ครบรอบ 43 ปี #สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

มทภ.2 หวัง GBC ได้ข้อสรุปที่ดี ลั่นไม่ถอยกำลังทหาร

กองทัพบก 4 ส.ค. – แม่ทัพภาค 2 ลั่น ไม่ถอยกำลังทหาร หวังถก GBC ได้ข้อสรุปที่ดี แต่ยังคาดหวังอะไรไม่ได้หากสองประเทศยอมรับเงื่อนไขซึ่งกันและกันก็จบง่าย พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปชายแดนไทย-กัมพูชา (GBC) ที่ประเทศมาเลเซีย ว่า ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าคุยเรื่องอะไรกัน แต่ก็คาดหวังว่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดี หาข้อตกลงร่วมกันให้ดีที่สุด ส่วนที่หลายฝ่ายมีความกังวลสถานการณ์ชายแดน หลังวันที่ 7 สิงหาคม จะมีความตึงเครียดนั้น พล.ท.บุญสิน กล่าวว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของผู้นำทั้งสองประเทศ จะเจอกันตรงจุดไหน หากยอมรับเงื่อนไขซึ่งกันและกัน ก็จบง่าย ซึ่งตอนนี้ยังคาดเดาอะไรไม่ได้ ว่าผลจะออกมาอย่างไร เมื่อถามว่า ประเด็นเรื่องการถอนกำลัง พล.ท.บุญสิน ยืนยันว่า “กองทัพไม่ถอย เพราะเรารุกในเขตพื้นที่อธิปไตยของเรา” สำหรับการดูแลชายแดนไทย-กัมพูชา กองทัพทั้งสองประเทศได้ปฏิบัติตามข้อตกลงการหยุดยิง ที่สองรัฐบาลได้พูดคุยกันไว้เพื่อความสงบสุขบริเวณชายแดน ซึ่งเราพยายามทำให้ดีที่สุด แต่ยอมรับว่า มีปัญหาเรื่องโดรนไม่ทราบฝ่าย ซึ่งกองทัพภาคที่ 2 ได้บูรณาการหน่วยงานทุกภาคส่วน เพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์ดีขึ้น รวมถึงการติดตามกลุ่มบุคคลที่ทำตัวเป็นสายลับ และไส้ศึก […]

สำนักโฆษก กห. พาย้อนเหตุการณ์ยุคเขมรแดงปี 1979-1980

4 ส.ค.- เตือนความจำเขมร! สำนักโฆษกกระทรวงกลาโหม โพสต์ย้อนเหตุการณ์ไทยช่วยเขมร ยุคเขมรแดง ปี 1979-1980 เปิดประตูรับคนเขมรเป็นที่พึ่งสุดท้าย-เปิดค่ายพักพิงแบบไม่ลังเล วันนี้(4 ส.ค.2568) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจสำนักโฆษกกระทรวงกลาโหม ได้เผยแพร่ข้อมูลการช่วยเหลือของฝ่ายไทยที่มีต่อชาวกัมพูชาในยุคเขมรแดง โดยข้อความระบุว่า จากคนที่หนีตายสู่คนที่หันปากกระบอกปืนกลับมา” เมื่อ ‘เขมร’ ลืมทุกอย่างที่ไทยเคยมอบให้ ปี 𝟏𝟗𝟕𝟗… ชาวกัมพูชานับแสน นับล้าน วิ่งหนีตายจากนรกบนดินที่ชื่อว่า “เขมรแดง” ข้ามพรมแดนมายังไทย ในสภาพหมดเรี่ยวแรง หิวโหย และเกือบสิ้นลมหายใจ คนไทยเปิดประตูให้เขาพักพิง ตอนนั้นประเทศไทยไม่ได้เป็นเพียง “เพื่อนบ้าน” แต่กลายเป็น “ที่พึ่งสุดท้าย” เราส่งอาหาร เราเปิดค่ายพักพิง เราช่วยเหลือทั้งในนามรัฐบาล องค์กรพัฒนาเอกชน และแม้แต่ชาวบ้านธรรมดา ๆ ที่ยอมแบ่งข้าวเพียงคำเดียวให้ผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชา การอพยพที่ไม่มีแผนที่เริ่มตั้งแต่ต้นปี 𝟏𝟗𝟕𝟗 จนถึงต้นยุค 𝟏𝟗𝟖𝟎𝐬 มีชาวกัมพูชาจำนวนมหาศาล บางแหล่งบอกว่ารวมกันถึง 𝟔 แสนถึง 𝟖 แสนคน อพยพอย่างไร้ทิศทางบางคนเดินเท้าเป็นร้อยกิโลเมตรจากกลางประเทศกัมพูชา หลายคนไร้เอกสาร ไม่มีอาหาร ไม่มีเป้าหมาย […]

กต. จัดบรรยายสรุปแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศ

ก.ต่างประเทศ 4 ส.ค.-กต. จัดบรรยายสรุปแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา คาดแจงข้อมูลที่บิดเบือน หลังกัมพูชาปล่อยเฟคนิวส์ต่อเนื่อง ด้าน “มาริษ” ย้ำไทยไม่ได้เริ่มก่อน ยึดแก้ปัญหาผ่านกลไกทวิภาคี เรียกร้องกัมพูชายึดหลักสันติวิธี-จริงใจ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานบรรยายสรุปแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ร่วมกับ นายปิยภักดิ์ ศรีเจริญ อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก และ นางสาวพินทุ์สุดา ชัยนาม อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ ณ ห้องนราธิป กระทรวงการต่างประเทศ โดยคาดว่าจะเป็นการชี้แจงข้อเท็จจริงภายหลังจากที่ฝ่ายกัมพูชามีการให้ข้อมูลที่บิดเบือนอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ก่อนการบรรยาย นายมาริษ กล่าวเปิดโดยขอบคุณผู้ที่เข้าร่วมรับฟังการบรรยายในวันนี้ พร้อมชี้แจงถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และท่าทีของไทยต่อกรณีดังกล่าว โดยตนตั้งใจจะแบ่งการบรรยายเป็น 2 ประเด็นหลัก คือ 1. การเจรจาหยุดยิงที่มาเลเซียเมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งไทยขอประท้วงต่อฝ่ายกัมพูชากรณีที่ละเมิดกฎหมายมนุษยชนและใช้ความรุนแรง โดยมีเป้าหมายแบบไม่เลือกเป้าและโจมตีไปที่พลเรือน รวมถึงการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งขัดต่อหลักการของอนุสัญญาออตโตวา ในขณะที่ไทยปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างเคร่งครัด จึงหวังเป็นอย่างยิ่งให้กัมพูชาปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวอย่างจริงใจด้วยเช่นกัน ภายใต้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ ส่วนประเด็นที่ 2 คือการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ GBC ระหว่างวันที่ 4-7 สิงหาคม […]

EOD ทำลายวัตถุระเบิด ใกล้ปั๊มน้ำมันบ้านผือ จ.ศรีสะเกษ 

ศรีสะเกษ 4 ส.ค. – เจ้าหน้าที่อีโอดีเก็บกู้จรวด BM 21 ที่กัมพูชายิงเข้ามาตกและฝังอยู่ในพื้นถนนกันทรลักษ์อีกจุด ใกล้กับปั๊มน้ำมันที่ถูกกัมพูชายิงใส่วันที่ 24 ก.ค. เช่นเดียวกัน บรรยากาศตั้งแต่ช่วงเช้าวันนี้ เจ้าหน้าที่ชุดเก็บวัตถุระเบิดหรือ EOD จากตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ ตำรวจ ตชด.ที่22 อุบลราชธานี และเจ้าหน้าที่จากศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ศูนย์บัญชาการทางทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย หรือ TMAC เข้าเตรียมความพร้อมเพื่อเก็บกู้ทำลายวัตถุระเบิดแรงสูง ประเภท BM21 ที่กัมพูชายิงเข้ามาในพื้นที่ แล้วตกลงไปฝังอยู่ในถนน กันทรลักษ์-เขาพระวิหาร ในพื้นที่ อำเภอกันทรลักษ์ เป็นจรวด BM 21 ที่ถูกยิงมาในวันที่ 24 กรกฎาคม วันเดียวกับที่ยิงใส่ร้านสะดวกซื้อภายในปั๊ม ปตท. บ้านผือ ระเบิดจุดนี้ อยู่ห่างจากปั๊ม ปตท. บ้านผือ ประเมาณ 500 เมตร และห่างจากจุดที่มีการเก็บกู้ จรวดบีเอ็ม 21 บนถนนกันทรลักษ์ลูกแรก ในวันที่ 2 สิงหาคม […]