อนาคตสื่อไทย หลังโควิด-19

กทม. 16 มิ.ย.- ในยุคที่สื่อสารมวลชน มีการปรับตัวการทำงานจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี มาอย่างหนักช่วงที่ผ่านมา เมื่อเจอกับสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ยิ่งทำให้เปลี่ยนรูปแบบการทำงาน หลังจากเหตุการณ์นี้กำลังคลี่คลาย อนาคตของสื่อไทยจะเป็นอย่างไร ผ่านมุมมองจากคนทำสื่อและนักวิชาการ



นายประณต วิเลปสุวรรณ  ผู้อำนวยการสถานีไทยรัฐทีวีและผู้อำนวยการฝ่ายบรรณาธิการทีวี ในฐานะผู้บริหารสื่อทีวีดิจิทัล มองอนาคตการทำงานของสื่อหลังเหตุการณ์โควิด-19 ว่า สื่อก็เหมือนกับธุรกิจอื่นๆที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์โควิด-19 ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน แม้ไทยรัฐทีวีจะได้รับความนิยมจากผู้ชมในช่วงเหตุการณ์โควิดสูง จนทำให้เรตติ้งของช่องขยับขึ้นมาอยู่ในลำดับต้นๆ แต่รายได้จากเม็ดเงินโฆษณาก็ลดลงไปอย่างมากจากวิกฤตที่เกิดขึ้น ขณะที่ค่าใช้จ่ายยังคงมีอยู่คงที่และเพิ่มขึ้นทั้งเงินเดือนพนักงาน การซื้ออุปกรณ์ป้องกัน เพิ่มประกันสุขภาพ ไปจนถึงค่าใช้จ่ายหลักคือสัมปทานที่ต้องจ่ายในแต่ละปี

“จะเห็นได้ว่าในช่วงที่ยังไม่เกิดเหตุการณ์โควิด-19 สื่อทีวีดิจิทัลก็อยู่ในสภาวะลำบากอยู่แล้ว หลายช่องต้องปิดตัวกันไปจากเม็ดเงินโฆษณาที่มีอยู่อย่างจำกัด


เมื่อต้องมาเจอกับสภาวะเช่นนี้ ยิ่งซ้ำเติมทีวีดิจิทัลเข้าไปอีก การดำรงอยู่ของแต่ละสถานีจึงเป็นไปด้วยความยากลำบากอย่างยิ่ง”

สำหรับรูปแบบการทำงานสื่อที่ปรับตัวในช่วงโควิดทั้งเว้นระยะห่างฯ WFH ไลฟ์สตรีมมิ่ง สัมภาษณ์แหล่งข่าวผ่านสื่อออนไลน์ ฯลฯ ผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี มีความเห็นว่า เชื่อว่าคนทำสื่อทุกคนทราบดีว่าควรจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรตราบเท่าที่เรายังไม่มีวัคซีน และเห็นด้วยกับการใช้ทุกวิธีเพื่อเว้นระยะห่างระหว่างแหล่งช่าวและผู้สื่อข่าว ที่ผ่านมาทางสถานีได้ออกระเบียบสำหรับผู้ปฏิบัติงานภาคสนามและผู้ปฏิบัติภายในองค์กรให้ตระหนักถึงอันตรายที่คาดไม่ถึง  มีการให้อุปกรณ์ป้องกันสำหรับผู้ที่ออกไปปฏิบัติงาน และผู้ที่ทำงานอยู่ในสถานี ซึ่งยังจะคงมาตรการนี้ไปจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

แน่นอนว่าช่วงโควิด-19 สื่อบางแห่งปรับขยับองค์กรให้เล็กลง บางแห่งเลิกจ้างพนักงานจำนวนมาก ประณต มองว่า หลังจากนี้ คือสถานการณ์ที่เรียกว่า”เผาจริง”ของทุกสื่อ ทุกธุรกิจ เชื่อว่าไม่มีผู้บริหารคนไหนอยากปลดหรือเลิกจ้างพนักงาน แต่เพื่อความอยู่รอดขององค์กร แต่ละองค์กรอาจเลือกตัดสินใจแตกต่างกันไป บางที่อาจใช้จังหวะนี้ทำองค์กรให้กระชับ เล็กลง เพื่อให้กิจการผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายนี้ไปให้ได้ บางแห่งอาจเลือกปรับหรือลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง มันเป็นสภาวการณ์ที่อยากบอกกับคนสื่อทุกคนว่า ต้องปรับตัวและฝ่าฟันกับสถานการณ์เลวร้ายนี้ไปให้ได้ และหากเป็นไปได้อยากให้ทบทวนเม็ดเงินที่ต้องจ่ายเป็นค่าสัมปทานให้กับ กสทช.อีกสักรอบ เพื่อนำมาประคองบุคลากรในวงการทีวีดิจิทัล ไม่ให้เป็นหนึ่งในอีกหลายล้านคนที่ต้องถูกเลิกจ้าง

รศ.พนา ทองมีอาคม กรรมการกองทุนสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ มีความเห็นต่ออนาคตสื่อไทยหลังเหตุการณ์โควิด-19 ว่า ช่วงที่ผ่านมาสื่อมวลชนไทย จำเป็นต้องปรับตัวเองตามโซเชียลและเทคโนโลยี เป็นกระบวนการปรับตัวที่เริ่มมาก่อนหน้ายุคโควิด เมื่อเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่วนตัวมองว่าสื่อไทยต้องปรับตัวใน 4 อย่าง หลังเหตุการณ์ คือ 1.เมื่อเกิดโรคระบาดโควิดฯ คนต้องการความรู้เพราะเป็นเรื่องของชีวิต เพื่อนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน ตัวอย่างที่เห็นชัดๆ คือ เรตติ้งช่อง 11 สูงขึ้นมาก เพราะคนติดตามข่าวสารความรู้ที่ถ่ายทอดจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ หลักๆ ผู้ที่มาออกอากาศจะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ถ้าเรามองกลับไปในอดีตคนเรามักไม่ให้ความสนใจความรู้มากนัก แต่ต่อไปคนจะเสพข่าวความรู้มากกว่าเสพข่าวบันเทิง เปลี่ยนแปลงจากข่าวที่เน้นอารมณ์ความรู้สึก เป็นข่าวสารความรู้มากขึ้น แต่จะไม่ได้เป็นรูปแบบสุดโต่ง จะเปลี่ยนแปลงเป็นแบบผสมผสาน ดังนั้นการทำข่าวต้องเจาะลึก ค้นหาความจริงมากขึ้น

      

2.ความสำคัญของปัจจัยเรื่องเวลากับความถูกต้อง ในอดีตสังคมกว้าง แต่การสื่อสารไม่เชื่อมถึงกัน เมื่อเกิดเหตุการณ์หนึ่งกว่าจะรู้อีกนาน  คุณค่าของสื่อจึงเน้นที่ความรวดเร็ว จะแข่งขันกันที่ความรวดเร็ว  แต่อนาคตความเร็วเป็นของที่หาได้มากมายในสังคมโซเชียล เมื่อเกิดอะไรขึ้นสังคมจะรู้เร็วมาก ดังนั้นความฉับไวจะเป็นอุปสรรคน้อยลง แต่ความถูกต้องแม่นยำจะต้องมีมากขึ้น ปัจจุบันคนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ด้วยตัวเองอย่างรวดเร็ว มีนักข่าวภาคประชาชนเต็มไปหมด  คุณค่าของสื่อจึงอยู่ที่ความแม่นยำและถูกต้อง ต้องมีการตรวจสอบข่าวรายละเอียดที่ยืนยันว่าถูกต้องจริง

     

3.วิถีชีวิตของผู้คนหลังโควิดจะเปลี่ยน เป็นการใช้ชีวิตที่ระมัดระวังขึ้น ทำให้คนหยุดคิด เห็นภัยต่างๆว่าอยู่ใกล้ตัวมากยิ่งขึ้น ผู้คนมีความมั่นคงน้อยลง สะท้อนออกมาให้เห็นว่างานและเงินหายไป ดังนั้นคนจะกลับมาอดออมมากขึ้น จุดนี้ทำให้เกิดการประหยัด แสวงหาความบันเทิงที่มีสาระมากขึ้น ไม่ฟุ้งเฟ้อขาดความระมัดระวัง คนจะเสพสื่อที่เป็นสาระมากกว่าบันเทิง รูปแบบนี้อาจทำให้ผู้ประกอบการสื่ออาจจะไม่ได้เงินทันที แต่จะได้ในระยะยาว สื่อในยุค New Normal ต้องตอบสนองแนวทางการแสวงหาข้อเท็จจริง เสนอบันเทิงที่ไม่ได้ฟุ้งเฟ้อ ไม่ยั้งคิด สื่อต้องตอบสนองเรื่องปัญญา หมายความว่าต้องเจาะข่าวให้มากขึ้น

     

4.สื่อต้องปรับโดยให้คุณค่าการทำงานของสื่อมากขึ้น ในอดีตไม่เห็นคุณค่าของคนเก่ง เน้นคุณค่าความสามารถตอบสนองความต้องการของเจ้าของกองบรรณาธิการ เน้นเร็วราคาถูก ดังนั้นจะให้ความสำคัญนักข่าวใหม่ๆ ที่ความรู้ไม่มาก จะเห็นได้จากข่าวโควิด เมื่อนักข่าวพัฒนาตัวเองยังไม่พอ ขาดความรู้ที่แท้จริง ทำให้ข่าวเป็นกลางๆ ดังนั้นต้องปรับทิศทางให้คนทำสื่อต้องมีความรู้มีฝีมือมากขึ้น สื่อจึงต้องลงทุนด้านคนมากขึ้น 

      

“วิชาชีพสื่อจะยังอยู่ แต่รูปแบบจะเปลี่ยน เพราะมนุษย์ยังต้องการข้อมูลข่าวสาร สื่อนับว่าเป็นโครงสร้างพื้นฐานหนึ่งในสังคมสื่อเองต้องปรับตัวตลอดเวลา ซึ่งรายได้ก็เป็นส่วนหนึ่งในกำหนดหนึ่งถึงความอยู่รอด”

 ดร.สิขเรศ ศิรากานต์ นักวิชาการอิสระด้านสื่อดิจิทัลและสื่อใหม่ แสดงความเห็นของคำว่า New Normal ในวงการสื่อว่า ก่อนจะไปใช้  New Normal ของสื่อนั้นต้องมองก่อนว่าสื่อคืออะไร ในแง่ของจริยธรรมการประกอบวิชาชีพ อุตสาหกรรมสื่อ หน้าที่ของเราคืออะไร ไม่เช่นนั้นจะหลงทาง ก่อนหน้านี้ในยุคดิจิทัล ไปมุ่งที่เว็บไซต์-ยุคทีวีดิจิทัล โซเชียลมีเดียในรอบ10 ปีซึ่งเป็นช่องทางไม่ถูก ปัจจุบันเว็บไซต์ของเราพัฒนาไปถึงไหนต่อให้มีการพัฒนามากแค่ไหน ถ้าเรายังไม่มีแพลตฟอร์มของเราก็พัง

      

“ในยุคโซเชียลฯมีผู้ประกอบการได้กำไรแค่ในระดับหน่วยเปอร์เซนต์ของรายได้ที่มีถ้าจะบอกว่าจะค้นหาสื่อยุค New Normal แล้วต้องมีการปรับตัว เราหาความปกติของสื่อให้ได้ก่อน ที่ผ่านมาก็ไม่ปกติอยู่แล้ว ตอนนี้จะปรับตัวไป New Normal ให้ได้ผลกำไร ในแง่วิชาชีพสื่อช่วง 4-5 ปีมานี้ก็ไม่ปกติอยู่แล้ว ทั้งศีลธรรม จริยธรรม ถ้าเรายังหาคำว่าปกติไม่ได้ เราก็จะหาสมดุลของเราไม่ได้เลย เป็นความสมดุลของธุรกิจ ระบบใหม่จะปรับไปได้หรือไม่ สภาวะ New Normal จะอยู่ไป 3 เดือนหรือ 1 ปี”

      

ดร.สิขเรศ เห็นว่าคำว่า New Normal เป็นวาทกรรมอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน อุตสาหกรรมสื่อมีวิวัฒนาการตลอดเวลา แต่ที่ผ่านมามีการลดระยะการปรับตัวจากรอบรายปีเป็นรายเดือนเป็นเรื่องปกติไม่ได้ปกติใหม่ เป็นวิวัฒนาการที่เร็วมากยิ่งขึ้น สังเกตว่าในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมาในสื่อทีวีไม่มีอะไรใหม่เลย อาจจะมีเทคโนโลยีในบางอุตสาหกรรมฯ เช่น คอนเสิร์ตโดยซูม แต่ก็เป็นครั้งคราวไม่ได้ก่อให้เกิดรายได้ กลายเป็นความคุ้นชิน การใช้ซูม ไม่ได้มีประสิทธิภาพ ในแง่การสื่อสารเป็นมิติสื่อสารระหว่างบุคคล  การปรับตัวของเราไม่มีอะไรใหม่ ถึงเราจะใช้เทเลคอนฯหรือคอนเสิร์ตซูม ก็ไม่สามารถมาทดแทนความรู้สึก ไม่ตอบโจทย์ในความเป็นมนุษย์ เป็นไปไม่ได้เลย

   

อนาคตของสื่อไทยหลังโควิดฯเป็นอย่างไร ดร.สิขเรศ มองว่าสื่อยังคงทำเหมือนเดิม New Normal เป็นเพียงยกระดับทางวาทกรรม หลังโควิดฯการผลิตรายการหนีเข้าสถานีมากขึ้น ยืดระยะเวลาออกอากาศในการเล่าข่าว 2-3 ชั่วโมง ตนจึงตั้งคำถามว่าในการทำงานมีอะไรใหม่ เป็นการขยับเพื่อหนีตาย ประหยัด ลดต้นทุน ขอความเห็นใจจากประชาชน ส่วนสื่อวิทยุแทบไม่มีอะไรปรับเปลี่ยน บางแห่งสลับทำงานที่บ้าน สื่อออนไลน์ ตราบใดที่ไทยยังไม่มีแพลตฟอร์มเป็นของตัวเอง ทำคอนเทนต์ดีๆ ก็ต้องไปอาศัยแพลตฟอร์มของต่างชาติ 

      

“สุดท้ายสื่อไทย ยังอยู่ในวังวนหมือนเดิม ย้ำที่เดิม ถ้าไม่ปรับแนวคิดวิชาชีพ กระบวนการทำงานลดลง การสร้างประโยชน์ทางธุรกิจลดลง สื่อต้องยอมรับให้ได้ ช่วงเกิดโควิดฯไทยรัฐทีวี ถือโอกาสปรับโครงสร้าง ค่าใช้จ่ายลดลง เป็นโอกาสให้นายทุนลดค่าใช้จ่าย สื่อจะอยู่ได้ ต้องปรับองค์กรให้กระชับมากขึ้น ไม่เทอะทะ ให้เป็นองค์กรที่เล็ก สามารถจรยุทธ์ได้อย่างรวดเร็ว จะเป็นองค์กรที่ใหญ่โตไม่ได้แล้ว  นี่เป็นโอกาสทองในการปรับลดให้เล็กลง”.-สำนักข่าวไทย

บทความพิเศษ ครบรอบ 43 ปี #สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

Cambodia PM Hun Manet in military uniform

กัมพูชาเสนอศาลโลกตัดสินดินแดนพิพาทกับไทย

พนมเปญ 2 มิ.ย.- ผู้นำกัมพูชาเสนอให้นำข้อพิพาททางดินแดนกับไทยให้ศาลโลกตัดสิน และได้สั่งการให้เจบีซีเร่งจัดการหารือกับไทยเรื่องปักปันเขตแดน ด้านกระทรวงต่างประเทศกัมพูชาได้ยื่นหนังสือประท้วงไทยเรื่องเหตุปะทะที่มีทหารกัมพูชาเสียชีวิต เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ขแมร์ไทมส์ของกัมพูชารายงานวันนี้ว่า นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนตได้โพสต์ถ้อยแถลงในสื่อสังคมออนไลน์เมื่อเย็นวันอาทิตย์ว่า เขาได้ตัดสินใจตามที่รับฟังรายงานสรุปจากนายทหารที่ประจำการตามแนวชายแดนไทย หลังจากที่เขากลับจากการปฏิบัติภารกิจในต่างประเทศ โดยได้สั่งการให้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมกัมพูชา-ไทยหรือเจบีซี (JBC) เร่งจัดการประชุมกับฝ่ายไทยเพื่อเดินหน้าการสำรวจและปักปันเขตแดนระหว่าง 2 ประเทศ ถ้อยแถลงระบุด้วยว่า กัมพูชากำลังเตรียมบรรจุประเด็นใหม่ไว้ในวาระการประชุมเจบีซี คือ การเสนอให้นำข้อพิพาทยาวนานเรื่องปราสาทตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด ตาเมือนควาย และพื้นที่มอมเบ เข้าสู่การตัดสินชี้ขาดของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลกที่กรุงเฮกในเนเธอร์แลนด์ นายกรัฐมนตรีกัมพูชาเตือนว่า การยั่วยุเมื่อไม่นานมานี้ของกลุ่มสุดโต่งเล็ก ๆ ได้จุดชนวนความตึงเครียดและโหมกระพือกระแสรักชาติขึ้นใน 2 ประเทศ เขาหวังว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะสามารถทำงานร่วมกันเพื่อบรรลุทางออกสุดท้ายให้แก่พื้นที่พิพาทอ่อนไหวเหล่านี้ กัมพูชายังคงมุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหาชายแดนด้วยกลไกทางเทคนิคและหลักการทางกฎหมาย แต่ก็สงวนสิทธิที่จะปกป้องบูรณภาพทางดินแดนด้วยทุกวิถีทาง รวมถึงการใช้อาวุธ หากมีความพยายามใช้กำลังทหารรุกรานดินแดนของกัมพูชา ด้านกระทรวงกิจการต่างประเทศและความร่วมมือสากลของกัมพูชาได้ยื่นหนังสือทางการทูตประท้วงไทย ซึ่งมีการเปิดเผยเนื้อหาเมื่อเย็นวันอาทิตย์ว่า กองทัพไทยเปิดฉากยิงทั้งที่ไม่มีการยั่วยุจากที่ตั้งทางทหารของกัมพูชาในหมู่บ้านเตโชมรกต อำเภอจอมกระสานต์ จังหวัดพระวิหารเมื่อราวเวลา 05.30 น.วันที่ 28 มีนาคม ส่งผลให้ทหารกัมพูชาถูกสังหารอย่างไม่เป็นธรรม 1 นาย และเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพทางดินแดนของกัมพูชา กระทรวงต่างประเทศของกัมพูชาขอประณามอย่างรุนแรงต่อการกระทำดังกล่าวว่า ผิดกฎหมาย รัฐบาลกัมพูชาเรียกร้องให้สอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยทันทีและถี่ถ้วน และต้องนำตัวผู้กระทำผิดมารับโทษ.-814.-สำนักข่าวไทย

นายกฯ กัมพูชา สั่งระดมทหารประชิดชายแดนไทย

1 มิ.ย. – ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา สั่งระดมกำลังทหารประชิดชายแเดนไทย ขณะเดินทางเยือนญี่ปุ่น พร้อมติดตามสถานการณ์บริเวณชายแดนติดกับไทยอย่างใกล้ชิด หนังสือพิมพ์ขะแมร์ ไทมส์ รายงานว่า ฌอง-ฟรองซัว ตัน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ให้สัมภาษณ์สื่อในประเทศ ระบุว่านับตั้งแต่เกิดเหตุความขัดแย้งตามมแนวชายแดนระหว่างทหารกัมพูชากับทหารไทย นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา ซึ่งอยู่ระหว่างปฏิบัติภารกิจเยือนญี่ปุ่น ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด จนกระทั่งเดินทางกลับมายังกัมพูชา เมื่อคืนที่ผ่านมา และได้สั่งการด้วยตัวเองให้ระดมกำลังทหารเพิ่มเติมเข้าประชิดชายแดนด้านที่ติดกับไทย เพื่อปกป้องอธิปไตยและพรมแดนกัมพูชา พร้อมกับยืนยันว่าสถานการณ์บริเวณชายแดนด้านที่ติดกับไทย กลับมาสงบเรียบร้อยตามปกติแล้ว นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ยังได้ติดต่อและสั่งการตามสายงานลงไปยังรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกลาโหม ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และเสนาธิการกองทัพบก ให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และแจ้งความคืบหน้าให้ทราบอย่างต่อเนื่อง หลังเกิดการปะทะกันครั้งล่าสุดระหว่างทหารกัมพูชากับทหารไทย พร้อมกับเรียกร้องประชาชนชาวกัมพูชาเชื่อมั่นการปฏิบัติหน้าที่ของกองทัพและรัฐบาลกัมพูชา ในการปกป้องดินแดน และหาหนทางแก้ไขความขัดแย้งบริเวณชายแดนติดกับไทย โดยยึดผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ และหลังจากนี้ คณะกรรมการพรมแดนของกัมพูชา มีกำหนดพบหารือในช่วงปลายเดือนมิถุนายนนี้ เพื่อหารือเกี่ยวกับรายละเอียดข้อขัดแย้ง และนำเสนอเพื่อเข้าสู่การเจรจาต่อไป.-สำนักข่าวไทย

“โอปอล สุชาตา” คว้ามงกุฎ Miss World 2025

อินเดีย 1 มิ.ย.-“โอปอล สุชาตา” สาวงามตัวแทนจากไทย สร้างประวัติศาสตร์สามารถคว้ามงกุฎ Miss World 2025 มาครองได้สำเร็จ เวทีการประกวด Miss World 2025 ครั้งที่ 72 ณ HITEX Convention Center เมืองไฮเดอราบัด รัฐเตลังคานา ประเทศอินเดีย โดย “โอปอล สุชาตา ช่วงศรี” สาวงามตัวแทนจากประเทศไทย สร้างประวัติศาสตร์สามารถคว้ามงกุฎมิสเวิลด์มาครองได้สำเร็จ โดยการประกวดในปีนี้มีนางงามจาก 108 ประเทศทั่วโลก เข้าร่วม ทั้งนี้ในรอบ 8 คนสุดท้าย มีนางงามที่ผ่านเข้ารอบได้แก่ บราซิล มาร์ตินีก เอธิโอเปีย นามิเบีย โปแลนด์ ยูเครน ฟิลิปปินส์ และประเทศไทย ซึ่งจนกระทั่ง รอบ 4 คนสุดสุดท้าย มาร์ตีนิก เอธิโอเปีย และ โปแลนด์ ทั้ง 4 […]

ข่าวแนะนำ

กรมอุตุฯ เตือนทั่วไทยยังมีฝนฟ้าคะนอง-ตกหนักบางแห่ง

กทม. 3 มิ.ย.- กรมอุตุฯ เตือนมรสุมพัดปกคลุมประเทศไทย ส่งผลให้ยังมีฝนฟ้าคะนองและตกหนักบางแห่ง ทะเลอันดามันคลื่นสูง 2 เมตร กรมอุตุนิยมวิทยาเผยประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักไว้ด้วย เนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง .-สำนักข่าวไทย

“ภูมิธรรม” ปัดขัดแย้งกองทัพ ปมปิดด่าน

2 มิ.ย. – “ภูมิธรรม” ปัดขัดแย้งกองทัพ ปมปิดด่าน ลั่นมีเอกภาพ แจงรัฐบาลเชื่อมั่นท่าที 2 ประเทศลดความรุนแรงได้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม โพสต์ข้อความชี้แจงทางเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่าเรียน สื่อมวลชน ทุกท่าน ตามที่มีข่าวกระจายกันในแวดวงสื่อสังคมออนไลน์ เรื่องความขัดแย้งระหว่างฝ่ายการเมืองกับฝ่ายทหาร ในการจัดการปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา และส่งผลให้เกิดความเข้าใจผิดต่อปัญหาการจัดการระหว่างสองประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการปิดด่านชายแดน ผมขอยืนยันว่า ผมกับกองทัพได้หารือร่วมกันหลายครั้ง และเห็นตรงกันว่าสถานการณ์ปัจจุบัน รัฐบาลทั้งสองประเทศต่างพยายามหาทางออกในการคลี่คลายวิกฤติ โดยยึดผลประโยชน์ประชาชนและอธิปไตยของชาติเป็นสำคัญ เราจึงกำหนดขอบเขตในการหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า และพยายามลดเงื่อนไขที่จะระงับยับยั้งมิให้เหตุการณ์ความขัดแย้งขยายตัวมากไปกว่านี้ สำหรับเรื่องการปิดชายแดนขณะนี้ รัฐบาลเห็นว่าท่าทีและการแสดงออกของทั้งสองประเทศ ยังเป็นการแสดงออกที่สามารถลดระดับความรุนแรงได้ เพราะการปิดด่านชายแดนแม้ไม่ใช่เรื่องการสู้รบทางตรง แต่กลับจะเกิดปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ ที่จะกระทบกับวิถีชีวิตประชาชน ทำให้สถานการณ์ยากต่อการคลี่คลาย แต่ขณะเดียวกัน กองทัพก็ตั้งอยู่ในความระมัดระวังและไม่ได้ละเลยในการปกป้องตนเองและอธิปไตยเหนือดินแดน ขณะนี้รัฐบาล ร่วมกับกำลังเหล่าทัพและกระทรวงต่างประเทศ กำลังใช้กลไก JBC เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาตามขั้นตอนอยู่ในปัจจุบัน เพื่อให้เกิดเวทีถกเถียงตามข้อเท็จจริงตามกฎหมาย ผมจึงขอเรียนชี้แจงยืนยันว่า รัฐบาลและกองทัพมีความเป็นเอกภาพ และมีพันธะสัญญาที่มั่นคงในการรักษาความสงบสุขให้ประชาชนได้รับประโยชน์ และความปลอดภัยมากที่สุด ขอให้มั่นใจว่าเราจะหลีกเลี่ยงการยกระดับความขัดแย้งที่จะนำไปสู่ความสูญเสียทั้งสองฝ่ายในทุกด้าน ที่ผ่านมา เราร่วมกันใช้ความพยายามอย่างยิ่ง ทั้งการประชุม หารือ […]

แผ่นดินไหวเชียงใหม่ ขนาด 4.5 รอยเลื่อนแม่ทาขยับ

เชียงใหม่ 2 มิ.ย.- ระทึก! แผ่นดินไหว ต.แม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ขนาด 4.5 ลึก 1 กม. ประชาชนแจ้งรู้สึกสั่นไหว 4 จังหวัด สาเหตุเกิดจากกลุ่มรอยเลื่อนแม่ทา ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา เรื่อง แผ่นดินไหวที่ ต.แม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ฉบับที่ 1/2568 กอง​เฝ้า​ระวัง​แผ่นดินไหว​ กรม​อุตุนิยม​วิทยา​รายงาน​ว่า​ เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ.2568 เวลา 14.07 น. เกิดแผ่นดินไหว จุดศูนย์กลางอยู่บริเวณ ต.แม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ขนาด 4.5 ความลึก 1 กิโลเมตร ได้รับแจ้งรู้สึกสั่นไหวบริเวณ จังหวัดเชียงใหม่ พะเยา ลำปาง และแม่ฮ่องสอน โดยสาเหตุเกิดจากกลุ่มรอยเลื่อนแม่ทา ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ สั่งการอำเภอพร้าว และอำเภอใกล้เคียง ลงพื้นที่ตรวจสอบผลกระทบจากแรงสั่นสะเทือน เบื้องต้นยังไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตและความเสียหาย […]

ศาลออกหมายจับ 6 ผู้ต้องหา ปล้นบุหรี่ไฟฟ้าของกลาง

2 มิ.ย.- ศาลออกหมายจับ 6 ผู้ต้องหา ปล้นบุหรี่ไฟฟ้าของกลาง ย่านท่าเรือคลองเตย ส่วนคนขับรถชน รปภ. เสียชีวิต โดนฆ่าคนตาย เพิ่มอีก 1 ข้อหา 13.00 น. ความคืบหน้าล่าสุดเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา การดำเนินคดี 6 ทรชนผู้ก่อเหตุขโมยบุหรี่ไฟฟ้าของกลางของกรมศุลกากรและก่อเหตุถอยรถตู้พุ่งชนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเสียชีวิต โดย พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ให้ข้อมูลว่า ศาลอาญากรุงเทพใต้อนุมัติออกหมายจับ 6 ผู้ต้องหาในคดีดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับทั้ง 6 คนถูกดำเนินคดีในข้อหา 4 ข้อหา ในแก่ ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ในเคหสถาน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิดหรือพาทรัพย์นั้นไปหรือให้พ้นการจับกุม ร่วมกันบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืน โดยใช้กำลังประทุษร้าย และกระทำความผิดตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ และซ่องโจร ขณะที่นายสิทธิศักดิ์ หรือแบงค์ ถูกดำเนินคดีเพิ่มอีกหนึ่งข้อหา คือ ฆ่าผู้อื่นเพื่อปกปิดความผิดของตนหรือหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดที่ตนกระทำไว้ ทั้งนี้ หลังศาลอนุมัติออกหมายจับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว […]