กรุงเทพฯ 1 มิ.ย. – แจงปม!! ข้อสงสัยจัดเช่า- ซื้อ เครื่องบินการบินไทย 70 ลำ ทำไมซับซ้อน มีตัวแทนการเงินเยอะ ใช้บริษัทจดทะเบียนเกาะเคย์แมน แหล่งข่าวผู้บริหารสายการบินระบุไม่แปลก แต่ต้องลงไปดูดีกว่าเช่า หรือเช่า-ซื้อ แพง หรือไม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการจัดเช่าเครื่องบินของ บมจ.การบินไทย และเปิดเผยข้อมูลแนวทางการจัดเช่า-ซื้อ เครื่องบิน 70 ลำ ใน 2 วิธี โดยมีการตั้งข้อสังเกตถึงชื่อบริษัทฯ ผู้ให้เช่าที่ใช้ชื่ออ่านออกเสียงเป็นภาษาไทยมีการจดทะเบียนที่เกาะเคย์แมน รวมทั้งทำให้เกิดข้อสงสัยว่ากรณีที่มีบริษัทผู้ให้เช่าต้องไปหาแหล่งเงินกู้อีกทอดหนึ่ง ส่งผลกระทบให้ต้นทุนทางการเงินในการจัดเช่าเครื่องบินของการบินไทยสูงเกินความจำเป็นหรือไม่
เมื่อวานที่ผ่านมาฝ่ายภาพลักษณ์และสื่อสารองค์กร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้ออกเอกสารชี้แจงระบุว่าปัจจุบันบริษัทฯ มีเครื่องบินภายใต้สัญญาเช่าทางการเงิน (Financing Lease) จำนวน 31 ลำ และเครื่องบินภายใต้สัญญาเช่าดำเนินงาน (Operating Lease) จำนวน 39 ลำ
โดยความแตกต่างของ 2 วิธี คือ สัญญาเช่าดำเนินงานนั้น เป็นสัญญาเช่าที่มีกำหนดระยะเวลาเช่า เมื่อครบสัญญาการบินไทยต้องคืนเครื่องบินให้แก่ผู้ให้เช่าในสภาพที่ตกลงกันไว้ ส่วนสัญญาเช่าทางการเงิน นั้น สายการบินจะทำสัญญาซื้อ-ขายกับผู้ผลิตเครื่องบิน และเมื่อสายการบินชำระเงินกู้ครบถ้วนแล้ว เครื่องบินจะถูกโอนเป็นกรรมสิทธิ์ให้สายการบิน โดยทั้ง 2 วิธีนี้ต่างก็มีเจ้าหนี้ทางการเงินของผู้ให้เช่าตั้งนิติบุคคลเฉพาะกิจ (Special Purpose Vehicle หรือ SPV) เข้ามาถือกรรมสิทธิ์เครื่องบินระหว่างช่วงเวลาสัญญาเช่าทั้งสิ้น
แหล่งผู้บริหารสายการบิน ระบุว่าการที่มีชื่อนิติบุคคลผู้ให้กู้ใช้ชื่อภาษาไทยนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลก โดยเป็นการตั้งชื่อให้คล้องกับชื่อของเครื่องบินที่การบินไทยตั้งไว้ เพื่อให้มีความชัดเจนว่าเป็นดีลสัญญาเช่าเครื่องบินลำใด รวมทั้งมีการตั้งนิติบุคคลถือสัญญาเช่า ซอยสัญญาให้แต่ละสัญญามีเครื่องจำนวนน้อย 1-2 ลำเท่านั้น เพื่อให้ง่ายเมื่อสัญญาครบกำหนดต้องมีการโอนเครื่อง หรือจำหน่ายต่อไป ดีลสัญญาที่มีเครื่องบินน้อยย่อมดำเนินการง่าย มีต้นทุนต่ำกว่าสัญญาที่มีฝูงบินจำนวนมากและมูลค่าสูง
ส่วนประเด็นที่มีการตั้งนิติบุคคล ถือสัญญาในหมู่เกาะเคย์แมน หมู่เกาะบริติชเวอร์จิน ประเด็นนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่บริษัทสายการบินทุกแห่งดำเนินการ เพื่อเป็นการเลี่ยงภาษีหัก ณ ที่จ่าย
ส่วนที่มีข้อสงสัยว่ากรณีที่มีการรวมกลุ่มเจ้าหนี้ของบริษัทให้เช่ามาจากนิติบุคคลหลายแห่ง ทำให้ต้นทุนการจัดเช่าเครื่องของการบินไทยสูงไปด้วยหรือไม่นั้น เพราะทุกบริษัทต่างก็ต้องดำเนินการโดยมีกำไร
“การจัดเช่าหรือเช่าซื้อเครื่องบินแต่ละล็อตนั้น จะมีต้นทุนทางการเงินอยู่ที่ประมาณ 3.5 % ถึงไม่เกิน 5% โดยเฉพาะการบินไทยถือเป็นสายการบินแห่งชาติที่เป็นรัฐวิสาหกิจ (ในอดีต) ย่อมมีความมั่นคงต้นทุนทางการเงิน ก็น่าจะต้องถูกกว่าบริษัทสายการบินอื่น หากจะตรวจปัญหาการทุจริตไม่ชอบมาพากลในสัญญาเช่านั้น คงต้องลงไปตรวจสอบราคาว่าการจัดเช่าหรือเช่าซื้อนั้น มีราคาสูงเกินจริงหรือไม่ เมื่อเทียบกับคู่แข่งสายการบินที่มีลักษณะบริการใกล้เคียงกัน” แหล่งข่าวผู้บริหารสายการบิน กล่าว
อีกประเด็นที่มีความสำคัญและสะท้อนปัญหาจากกรณีการบินไทยวันนี้ หากในอนาคตตรวจพบการทุจริตการจัดเช่า ที่ผ่านมาการบินไทยในฐานะบริษัทจดทะเบียน ซึ่งต้องมีผู้สอบบัญชีมาตรฐาน รวมทั้งเป็นรัฐวิสาหกิจที่ต้องมีหน่วยงานภาครัฐกำกับการเบิกจ่าย และการจัดซื้อจัดจ้าง หากพบมีช่องโหว่ ทำให้เกิดการทุจริตก็ต้องยอมรับเป็นจุดหนึ่งที่อาจต้องไปตรวจสอบปัญหาการใช้จ่ายงบประมาณในรัฐวิสาหกิจอื่น ๆด้วยในอนาคต
นอกจากนี้ แหล่งข่าวผู้บริหารสายการบินระบุด้วยว่าเมื่อการบินไทยผ่านการฟื้นฟูกิจการแล้ว เชื่อว่ายังต้องใช้วิธีการจัดหาเครื่องบินด้วยการเช่าอยู่ดี เพราะหลังจากฟื้นฟูกิจการการบินไทยอาจยังมีกระแสเงินสดไม่มากนัก รวมทั้งการบินไทยก็มีบทเรียนในอดีตในการจัดซื้อเครื่องบินแอร์บัส เอ 340- 500 และไม่สอดคล้องการใช้งานต้องจอดไม่ได้ทำการบิน อยากจะขายก็ขายไม่ได้ ติดเป็นบัญชีตัวแดง ดังนั้น ในอนาคตทุกสายการบินเมื่อพิจารณาแนวทางหลังสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 แนวทางการจัดหาเครื่องบินด้วยวิธีเช่าย่อมดีกว่าวิธีซื้อ เนื่องจากเทคโนโลยีของอากาศยานมีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว รวมทั้งต้องพิจารณาเรื่องระบบการใช้งานบริการแก่ผู้โดยสารระบบไอทีที่ต้องเผื่อสำหรับงานให้บริการในช่วงมีโรคระบาดด้วย โดยการบินไทยและสายการบินอื่นทั่วไปคงจะใช้วิธีการเช่าเครื่องบินไม่เกิน 5-6 ปี ไม่เช่าระยะยาวเป็น 10 ปีเหมือนในอดีต.-สำนักข่าวไทย
