“สุทิน”มองรัฐแก้โรคระบาดได้แต่ทำประเทศล้มเพราะศก.

รัฐสภา 31 พ.ค. -ประชุมสภาพิจารณา พ.ร.ก.กู้เงิน 3 ฉบับ วันสุดท้าย “สุทิน” ชี้ รัฐบาลไม่กำหนดแหล่งกู้เงินชัดเจน ระบุ ป้องกันโรคระบาดได้ แต่ประเทศล้มเพราะพิษเศรษฐกิจ ตั้งข้อสังเกตเงื่อนไขช่วย SMEs ล้มเหลว กลุ่มทุนขนาดใหญ่ได้ประโยชน์ 


การประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาพ.ร.ก.กู้เงิน วันนี้(31 พ.ค.) เป็นวันสุดท้าย เริ่มขึ้นในเวลา 09.30 น.โดยมีนายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานการประชุม โดยฝ่ายรัฐบาล คณะรัฐมนตรี(ครม.) และส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล เหลือเวลาอภิปราย 5 ชั่วโมง 32 นาที ขณะที่ฝ่ายค้านเหลือเวลาอภิปราย 4 ชั่วโมง 55 นาที ทั้งนี้ หลังการลงมติพ.ร.ก.กู้เงิน 3 ฉบับ ที่ประชุมจะพิจารณาพ.ร.ก.การประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์และลงมติเวลา 20.00 น. โดยเผื่อเวลาเคอร์ฟิว ซึ่งนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ยืนยันว่า วันนี้พิจารณาแล้วเสร็จอย่างแน่นอน

ทันทีที่เปิดการประชุม นายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมมรัฐบาล(วิปรัฐบาล) ขอบคุณประธานการประชุมที่ควบคุมการอภิปรายตลอด 4 วันที่ผ่านมาให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย หากเป็นไปตามนี้ คาดการณ์ว่า 13.30 นาทีน่าจะลงมติพ.ร.ก.กู้เงิน 3 ฉบับ และช่วง 18.00-19.00 น่าจะลงมติพ.ร.ก.การประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ได้


สำหรับการอภิปราย พ.ร.ก.กู้เงินวันสุดท้าย สมาชิกฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล สลับกันอภิปราย และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องชี้แจงประเด็นที่สมาชิกตั้งข้อสังเกต โดยนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายขอบคุณอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.) ที่เป็นกำลังหลักการการเผชิญสถานการณ์โควิด-19 พร้อมกล่าวขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ ฝ่ายกำหนดนโยบายทั้งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19 : ศบค.) และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยเข้าใจว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจำเป็นต้องประกาศใช้พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และจะดีต่อวิถีชีวิตใหม่หรือ New Normal ในอนาคต พร้อมยกตัวอย่างในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เคยมีโครงการไทยเข้มแข็ง ได้ช่วยค่าตอบแทนเพิ่มเติมและจัดตั้งกองทุนฌาปนกิจอสม. ซึ่งอสม.ได้รับการชดเชยเมื่อเสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 5 แสนบาท พร้อมเสนอให้อสม.ที่ทำงานเกิน 30 ปีได้เครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นเหรียญเงินมงกุฎไทย เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ 

นายชินวรณ์ เสนอให้ใช้งบประมาณ 400,000 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมลงไปสู่ฐานเศรษฐกิจคือชนบท ต้องพัฒนาการเจริญเติบโตไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน ทำเกษตรที่มีรายได้สูง ทำเกษตรอัจฉริยะ ให้เกษตรกรมีกระบวนการ มีเป้าหมาย มีตลาด และมีรายได้ที่ชัดเจนในอนาคต การรวมตัวกันเพื่อเกิดอุตสาหกรรมอาหารและการท่องเที่ยวทางการเกษตร นำไปสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์เศรษฐกิจ ฐานราก เศรษฐกิจชุมชน เกษตรพอเพียงผสมผสานนำไปสู่สินค้าบริการชุมชนและท่องเที่ยวชุมชนอย่างแท้จริง


นายชินวรณ์ กล่าวว่า หลังจากสถานการณ์โควิด-19 เชื่อว่าสถานการณ์ของประเทศจะต้องเปลี่ยนแปลงไป อยากเรียกร้องให้สมาชิกรวมถึงรัฐบาล จะต้องหันกลับมาสู่การสร้างสังคมไทยหลังโควิด-19 ที่ไม่เหมือนเดิมแน่นอน โดยจะต้องสร้างสังคมที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีออนไลน์ การศึกษาทางไกล ส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิตอลและธุรกิจออนไลน์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องเกิดขึ้นในอนาคต และสิ่งสำคัญคือด้านสุขภาพอนามัย จะต้องมีการรักษาทางไกล ต้องดูแลโครงการอสม. สร้างโรงพยาบาลสาธารณสุขประจำตำบลให้เข้มแข็งอย่างจริงจัง และเปลี่ยนการบริหารจัดการที่ดีให้เกิดขึ้น

ด้าน น.ส.ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายถึงพ.ร.ก. การรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือพ.ร.ก.อุ้มตราสารหนี้ ซึ่งพ.ร.ก.นี้ตั้งกองทุนรักษาสภาพคล่องของตราสารหนี้ (BSF) เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนให้บริษัทที่ออกตราสารหนี้ เพื่อเสริมสภาพคล่อง โดยให้กองทุนลงทุนในตราสารหนี้เอกชนที่ออกใหม่ให้นำเงินไปไถ่ถอนตราสารหนี้เดิมที่มีกำหนดชำระเงินภายในปี 2564 เนื่องจากกลัวว่าวิกฤตโควิด-19 จะทำให้คนไม่มั่นใจและไม่กล้าซื้อตราสารหนี้ที่ออกใหม่ หรือเกิดการเทขายก่อนกำหนด เป็นผลให้ต้นทุนของบริษัทนั้นสูงขึ้นโดยตราสารหนี้ที่ได้รับความช่วยเหลือจะต้องเข้าเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ซึ่งส่วนใหญ่ถูกจัดระบบการลงทุนจะเป็นบริษัทใหญ่ ซึ่งหลักการของกองทุนดูเหมือนจะดี  เป็นการนำเงินมาอุ้มตลาดการเงินไม่ให้ล่มสลาย  แต่เมื่อนำมาเทียบกับมาตรการช่วยเหลือประชาชนของรัฐบาล ทำให้เห็นว่ารัฐบาลมีความลำเอียงในขณะที่เกิดสภาวะโควิด-19 เช่นนี้ ยังช่วยเหลือกลุ่มทุนใหญ่มากกว่ากลุ่มทุนเล็ก และประชาชน 

น.ส.ณธีภัสร์ กล่าวว่า หากเปรียบเทียบสัดส่วนการให้ความช่วยเหลือระหว่างกลุ่ม SME กับ บริษัทขนาดใหญ่ เมื่อดูจากขนาดตลาดและสินเชื่อจากธนาคาร 15.3 ล้านล้านบาท เป็นสินเชื่อให้กลุ่ม SME 5.1 ล้านล้านบาท รัฐบาลให้ความช่วยเหลือซอฟโลน 5 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 10% ของตลาดสินเชื่อ SME  แต่เมื่อดูตลาดตราสารหนี้อยู่ที่ 3.8 ล้านล้านบาท รัฐบาลให้เงินช่วยเหลือ 4 แสนล้านบาท คิดเป็น 45% แปลว่าหากดูเฉพาะเรื่องเงินที่รัฐบาลให้พยุงตลาดทุนใหญ่ได้มากกว่า เอสเอ็มอี เกือบ 5 เท่า โดย พ.ร.ก. ฉบับนี้กำหนดว่าตราสารหนี้ที่ต้องเข้าร่วมของการจะต้องระดมทุนจากแหล่งอื่นให้ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 มูลค่าตราสารหนี้ที่เข้าหลักเกณฑ์ทั้งหมด 8.9 แสนล้านบาท แปลว่าอย่างมากที่สุดที่ประสงค์จะเข้าร่วมโครงการได้จะไม่เกิน 445,000 ล้านบาท

น.ส.ณธีภัสร์ กล่าวว่า วงเงินที่รัฐบาลให้ตามพ.ร.ก.นี้คือ 4 แสนล้านบาท จะเห็นว่าครอบคลุมบริษัทใหญ่ถึงกว่า 90%  แต่วงเงินที่รัฐบาลตั้งให้กลุ่ม SME จากอบอุ้มได้เพียง 10% เท่านั้น แต่ยังมีเรื่องที่น่าตกใจยิ่งกว่าเมื่อนำวงเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล มาหารจำนวนผู้ได้รับประโยชน์จากมาตรการ จะพบว่า พ.ร.ก.อุ้มตราสารหนี้ วงเงิน 4 แสนล้านบาทฉบับนี้  มีข้อมูลจากสมาคมตราสารหนี้ไทย มีบริษัทที่จะเข้าเกณฑ์ 125 บริษัท เฉลี่ยแล้วจะได้รับการจัดสรรวงเงินรายละ 3,200 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับ พ.ร.ก. ให้สินเชื่อ SME วงเงิน 5 แสนล้านบาท จำนวน SME ที่เข้าหลักเกณฑ์ช่วยเหลือจะมี 1.9 ล้านราย ได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลเฉลี่ยรายละ 263,158 บาทเท่านั้น ต่างกันถึง ต่างกัน 12,167 เท่า ซึ่งสัดส่วนนี้บ่งบอกว่ารัฐบาลลำเอียงเข้าข้างกลุ่มทุนใหญ่อย่างชัดเจน

“ฝั่งหนึ่งเป็นเงินกู้ ฝั่งหนึ่งเป็นหุ้นกู้ ถือเป็นการเสริมสภาพคล่องให้กลับช่วงวิกฤติเศรษฐกิจเหมือนกัน แต่ทำไมวงเงินที่ได้รับถึงต่างกันกว่า 1.2 หมื่นเท่า รัฐบาลอาจจะอ้างว่าหากทุนใหญ่ล้มจะส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจในวงกว้าง แต่ถ้ากลุ่ม เอสเอ็มอี ล้ม เศรษฐกิจจะเสียหายหรือไม่ แรงงานจะถูกเลิกจ้างหรือไม่ คนที่จะตายคือกลุ่มทุนเล็ก ที่ไม่สามารถหล่อเลี้ยงบริษัทได้ ต่างจากบริษัทใหญ่ที่มีแต้มต่อในการกู้เงิน ทางที่ดีรัฐบาลและแบงค์ชาติ ควรประเมินและมีการจัดสรรงบประมาณใหม่ในการช่วยเหลือกลุ่มต่างๆให้เป็นธรรม ไม่บิดเบี้ยว และละไม่ลำเอียงอย่างที่เป็นอยู่” น.ส.ณธีภัสร์ กล่าว 

น.ส.ณธีภัสร์ เสนอให้กลุ่มทุนใหญ่ที่ดูแลตัวเองประกาศว่าจะไม่ขอใช้ประโยชน์จาก พ.ร.ก.ฉบับนี้ ซึ่งจะทำให้วงเงินไม่ต้องใช้ ถึง 4 แสนล้านบาท และให้ธนาคารแห่งประเทศไทย นำกลับไปปรับวงเงินเพื่อช่วยเหลือกลุ่ม SME ได้เพิ่มเติม พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าการตั้งคณะกรรมการตามพ.ร.ก.มีอำนาจมาก ส่วนใหญ่มาจากธนาคารแห่งประเทศ และกระทรวงการคลัง แม้จะเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ แต่อาจถูกครอบงำหรือสั่งการได้ อีกทั้งอำนาจหน้าที่ยังล้นฟ้าสามารถพิจารณาให้บริษัทที่ไม่สามารถระดมทุนได้ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดให้ได้รับสิทธิ์ได้ซึ่งไม่ส่งผลดี 

ขณะที่นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย อภิปรายสรุปข้อเสนอแนะการอภิปราย ประกอบการลงมติพระราชกำหนด 3 ฉบับ เกี่ยวกับการแก้ไขและเยียวยาสถานการณ์โควิด-19 แม้จะเป็นการกู้เงินโดยตรง 1 ล้านล้านบาท และอีก 900,000 ล้านบาท เป็นสภาพคล่อง แต่ถือเป็นเงินที่ประชาชนต้องรับผิดชอบด้วยทั้งหมด จึงเป็นสิทธิ์ที่ประชาชนควรจะรู้ 

“นายธนินท์ เจียรวนนท์ เจ้าสัวซีพียังบอกว่าจำเป็นต้องกู้ 3 ล้านล้านบาทด้วยซ้ำ แต่หากกู้มาแล้วเจ๊ง ก็ไม่ต้องกู้ หรือกู้แค่ 600,000 ล้านบาท เพื่อการเยียวยา นอกนั้นให้เป็นไปตามงบประมาณปกติ แต่หากรัฐบาลยังสับสน ไม่มีอะไรเป็นตัวชี้วัด สุดท้ายจะทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในสภาพเดียวกันกับการบินไทย รวมถึงไม่มีความชัดเจนว่าจะกู้จากแหล่งเงินที่ใด หากจะกู้ IMF หรือ World Bank ก็เสี่ยงเกิดการแทรกแซงกำกับประเทศ แต่ก็เป็นไปได้ยากที่จะสามารถกู้ได้ หากระบบตรวจสอบภายในยังเป็นแบบนี้” นายสุทิน กล่าว

“โควิด-19 โจมตีเป็นระยะเวลา 3 เดือน ไม่ใช่เฉพาะแนวรบด้านสุขภาพเท่านั้น แต่กระทบด้านเศรษฐกิจ สังคมด้วย แต่รัฐบาลประมาท หลงตัวเองว่าควบคุมได้ จึงมีความเสี่ยงหากมีการระบาดรอบ 2  ซึ่งในหลายประเทศในกลุ่มอาเซียน เช่น เวียดนาม ลาว กัมพูชา สามารถควบคุมสถานการณ์ได้และไม่กู้เงิน ส่วนสาเหตุที่หลายประเทศแถบอาเซียนสามารถควบคุมการระบาดได้ดี เพราะภูมิอากาศร้อน ควบคุมการระบาดได้ง่าย แต่ต้องรับมือหากระบาดอีกในหน้าหนาวจะเอาอยู่หรือไม่ ขณะที่หมอและบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งทำงานได้ดี แต่อย่าตกไปเป็นเครื่องมือของรัฐบาล” นายสุทิน กล่าว

นายสุทิน กล่าวถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยเปรียบประเทศเหมือนคนป่วยโรคเบาหวานที่มีพล.อ.ประยุทธ์เป็นหมอรักษา ให้ยาโดยการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ปิดเมือง จนได้ผลน้ำตาลลดลง แต่กลับเกิดผลข้างเคียงที่ไต คือระบบเศรษฐกิจพังทั้งประเทศ ซึ่งขณะนี้ถูกต้องแล้วที่ต้องเร่งแก้ปัญหาเยียวยาให้คนรอดตายก่อน แต่เกิดปัญหาเยียวยามาครอบคลุม ไม่ทันเวลา ล้มเหลว การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ายังไม่สามารถทำให้ดีได้ ขณะเดียวกันไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ไม่มีตัวชี้วัดที่ชัดเจน ส่วนหนี้สาธารณะวันที่นายกรัฐมนตรีเข้าสู่ตำแหน่งอยู่ที่ร้อยละ 36 แต่ปี 2564 หนี้สาธารณะจะถึงร้อยละ 57 ของ GDP เป็นการกู้เงินจนเต็มโควตา ไม่เหลือให้รัฐบาลต่อไป ขณะที่กลุ่มเจ้าสัวเริ่มมีความเคลื่อนไหวเอาเงินไปฝากธนาคารไว้ถึง 800,000 ล้านบาทแล้ว

“เรื่องการตั้งงบฟื้นฟูเศรษฐกิจ 400,000 ล้านบาท นายกรัฐมนตรียังใช้วิธีคิดแบบเดิม ส่วนใหญ่เป็นการอบรมสัมมนาภาคการเกษตร จึงขอให้นำงบประมาณไปพัฒนาแห่งน้ำ สร้างการตลาดให้ชัดเจน ซึ่งรัฐบาลต้องทำให้ถูกทิศ คิดให้ถูกทาง ถ้าใช้เกษตรอัจฉริยะก็แค่ครอบคลุมไม่กี่กลุ่ม กล้าหรือไม่ ที่จะใช้งบ 7 แสนล้านบาท เพื่อพัฒนาแหล่งน้ำ เพราะไม่เชื่อว่าการอบรมจะทำให้ภาคการเกษตรแข็งแกร่งจริง ขณะที่ภาคการท่องเที่ยว เมื่อประชาชนไม่มีเงิน ก็ไม่มีอารมณ์ไปเที่ยว เกิดเป็นปัญหา สุดท้ายงบประมาณส่วนนี้จะล้มเหลวอีก ขณะที่งบฟื้นฟูด้านสาธารณสุข 45,000 ล้านบาท เชื่อว่าจะทำให้ประเทศเป็นศูนย์กลางการแพทย์ได้” นายสุทิน กล่าว

นายสุทินกล่าวถึงการช่วยเหลือ SME ว่า มาตรการทำให้ช่วยเหลือรายใหญ่จำนวนมาก รายเล็กตกไป และมีข่าวว่ากลุ่มทุนจีนสามารถเข้าถึงได้ด้วย ยิ่งถ้าประเทศไทยเข้าสู่การเป็น CPTPP อีก ยิ่งตายสนิท เพราะจะไม่เหลือเงื่อนไขทางเศรษฐกิจไว้เลย ทำให้เมล็ดพันธุ์ไม่มีสิทธิ์เอามาปลูกใหม่ รัฐวิสาหกิจในประเทศเปิดช่องให้ต่างชาติมาถือหุ้นได้ โดยกลุ่ม SME แห่มาหาตนเองที่พรรคเพื่อไทย มาปรับทุกข์ขอให้ออกกฎหมายตั้งสภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพราะองค์กรไม่แข็งแรงไม่มีอำนาจต่อรอง รวมตัวกันไม่ติด จึงมีการเสนอต่อสภาแล้ว เป็นเรื่องที่รออยู่ในวาระ

สำหรับการออก พ.ร.ก.ซื้อหุ้นกู้จากภาคเอกชน นายสุทิน อภิปรายว่า การใช้สภาพคล่องของธนาคารแห่งประเทศไทย สุดท้ายก็มาเป็นภาระหนี้ของประเทศ ซึ่งในประวัติศาสตร์ ธนาคารแห่งประเทศไทยเคยสร้างเคยตั้งกองทุนไปซื้อหนี้เสียจากบริษัทเอกชนจนต้องขายหนี้เสียราคาต่ำในที่สุดประเทศ เป็นหนี้ 8 แสนล้านบาทจนวันนี้ แล้ววันนี้จะไปซื้อหุ้นกู้เอกชน 

“ถามว่ามีเหตุผลหรือไม่ ซึ่งมีเหตุผลว่าตลาดทุนพวกนี้มูลค่า 3.8 ล้านล้านบาท แต่มองว่าหลายบริษัทใหญ่ ๆ สามารถช่วยตัวเองได้ ไม่จน มีสินทรัพย์เป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ รายงานสํานักข่าวบลูมเบิร์กระบุว่ามีทุนใหญ่ของไทยระดมเงินฝากร่วม 800,000 ล้านบาท แล้ว ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็กล่าวว่าไม่มีความรู้เรื่องเศรษฐกิจ ไม่ทันเขา และกำลังจะสร้างตำนานล้มบนฟูกอีกรอบ แกล้งจน แกล้งไม่มีใช้ แกล้งล้มละลาย แล้วให้คนอื่นไปใช้หนี้แทน แล้วตัวเองก็หอบทรัพย์ออกไป จึงมองว่าแบงค์ชาติต้องสร้างความเชื่อมั่น ไม่จำเป็นอย่าลงไปทำเอง” นายสุทิน กล่าว

นายสุทิน กล่าวว่า การช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ อยู่ที่เป้าหมายของรัฐบาล หากอยากให้วงล้อทางเศรษฐกิจหมุนสามารถทำได้โดยการลงเม็ดเงินในระบบ แต่ถ้าวงล้อเศรษฐกิจไม่หมุน ทุกอย่างจะตีกลับ กลายเป็นค่าใช้จ่ายภาครัฐที่ไม่จำเป็นทันที หนี้สาธารณะอาจสูงถึงร้อยละ 70 ของ GDP พร้อมชี้ให้เห็นว่าปัจจัยโลกเปลี่ยนไปเป็นเศรษฐกิจแบบชาตินิยม ตราบใดที่ยังไม่ปฏิรูปประเทศ ก็ยังมีเรื่องให้ต้องบ่นกันอยู่ การปฏิรูปที่สำคัญคือระบบราชการและจะลองรับ New Normal ได้อย่างไร ถ้าปล่อยให้ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจเป็นอย่างนี้ สุดท้ายจะเป็นการใช้ชาวบ้านคนจนเป็นที่ผ่านเงินเท่านั้น 

“รัฐบาลต้องการแค่รอบหมุนทางเศรษฐกิจ ถือว่าเป็นอะไรที่ใจร้ายมาก เพราะเงินกู้นี้สุดท้ายจะไม่ฟูและเป็นหนี้ เชื่อว่าพล.อ.ประยุทธ์จะหนีก่อนที่จะเศรษฐกิจจะล้มต่อหน้า และให้คนอื่นมาอุ้มศพต่อ ประเทศต้องรับกรรมรับผิดชอบ ชาวบ้าน 70 ล้านกว่าคนต้องมาใช้หนี้ มาตรการทุกอย่างจะรีดเงินถึงชาวบ้านหมด” นายสุทิน กล่าว

สำหรับการตรวจสอบ นายสุทิน กล่าวว่า การตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้เงินกู้มีปัญหา โดยคณะกรรมการวินิจฉัยข้อขัดแย้งในการปฏิบัติจัดซื้อจัดจ้าง ไปแก้ระเบียบปกติ ว่าไม่ต้องทำการจัดซื้อจัดจ้างระบบ E-Bidding ไปตลอดการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งเหมือนการเปิดทางให้มีการทุจริต จึงควรให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญมาตรวจสอบ แต่ฝ่ายรัฐบาลก็ยังเงียบ มีเพียงเงื่อนไขให้รายงานต่อสภาฯ ปีละครั้งเท่านั้น พร้อมตั้งข้อสังเกตปัญหาการใช้กองทุนประกันสังคม ที่ประชาชนฝากไว้ แต่ยังไม่สามรถนำเงินออกมาใช้ได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาพ.ร.ก.กู้เงิน ในวันสุดท้ายเวลา 13.09 น. ก่อนลงมติ โดยนายกรัฐมนตรีโบกมือทักทายสื่อมวลชน แต่ไม่ได้ให้สัมภาษณ์ และได้ขึ้นห้องประชุมทันที ขณะที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคงเข้าร่วมการประชุมสภาในเวลาไล่เลี่ยกับนายกรัฐมนตรี โดยขึ้นลิฟท์จากลานจอดรถไปยังห้องประชุมทันที.-สำนักข่าวไทย   

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ผบ.ตร.รับทราบเหตุปะทะเดือดสงขลา ปิดล้อมกลุ่มก่อความไม่สงบ

รัฐสภา 11 ก.ย.- “บิ๊กต่าย” พยักหน้ารับทราบ เหตุปะทะเดือด เจ้าหน้าที่ปิดล้อมกลุ่มก่อความไม่สงบ พื้นที่ จ.สงขลา ระบุขอเข้าประชุมก่อน พลตํารวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางมาประชุมร่วมกับกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ที่อาคารรัฐสภา โดยผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามว่า ได้รับรายงานเรื่องการปะทะเดือด เจ้าหน้าที่ปิดล้อมกลุ่มก่อความไม่สงบ ที่บ้านห้วยเต่า สงขลา แล้วหรือไม่ โดยพลตํารวจเอก กิตติ์รัฐ พยักหน้า แต่ไม่ได้ตอบคำถาม ระบุเพียงว่าขอเข้าประชุมก่อน -สำนักข่าวไทย

“บิ๊กเต่า” ชี้เป้าตลก 3 พยางค์ ส่อโยงเส้นเงินวัดพระบาทน้ำพุ

รัฐสภา 11 ก.ย.- “บิ๊กเต่า” ชี้เป้าตลก 3 พยางค์โผล่วันจับ “ทิดอลงกต” ส่อโยงเส้นเงินวัดพระบาทน้ำพุ พบพิรุธ ยังไม่มารายงานตัว พลตำรวจตรี จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กล่าวถึงความคืบหน้าคดีทิดอลงกต วัดพระบาทน้ำพุ ที่มีการเปิดเผยออกมาว่า ตลกชื่อ 3 พยางค์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับเงินวัดพระบาทน้ำพุด้วย ว่า มีตลกอีก 1 คนที่ยังเป็นเป้าหมายยังไม่ได้มาแสดงตัวและยังไม่ได้มาให้การ พนักงานสอบสวนจะเรียกมาเอง ซึ่งพบพิรุธเยอะว่าทำอะไรที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายหรือไม่เป็นไปตามวิธีการที่ทำในการเข้าไปช่วยเหลือ ทิดอลงกต ในการขนย้ายสิ่งของ ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญ และไม่เหมือนดาราท่านอื่น ที่เป็นการรับจ้างงาน แต่คนนี้น่าจะเป็นคนที่สนิทส่วนตัว เป็นคนที่เคยถูกดำเนินคดีอยู่ เมื่อถามว่าเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้เลยใช่หรือไม่ พลตำรวจตรี จรูญเกียรติ กล่าวว่าเป็นคนลึกลับซับซ้อน ซึ่งเป็นคนที่เคยโผล่ให้เห็นในวันที่ทิดอลงกตถูกจับ -สำนักข่าวไทย

พ.อ.นพ.ธวัชชัย เล่านาที จนท.สวนสัตว์ ลงจากรถ แล้วถูกสิงโตตะปบรุมขย้ำ

กทม. 10 ก.ย.-พ.อ.นพ.ธวัชชัย เล่านาที สิงโตตะปบเจ้าหน้าที่สวนสัตว์ จากนั้นสิงโตอีก 5 ตัว รุมขย้ำ โดยที่เจ้าตัวไม่ได้ขัดขืนหรือร้องขอความช่วยเหลือ พ.อ.นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์ อดีตอาจารย์และแพทย์ศัลยกรรม โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า หรือเป็นที่รู้จักในฐานะหมอที่มาช่วยเหลือในคดีการเสียชีวิตของแตงโม ซึ่งเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ระบุว่า วันนี้ตนมาเที่ยวสวนสัตว์ โดยได้ขับรถเข้าไปในโซนซาฟารี ขณะนั้นมีรถนักท่องเที่ยวหลายคันเข้าชม เมื่อมาถึงบริเวณโซนสิงโต ก็พบว่ามีรถของเจ้าหน้าที่รายหนึ่งซึ่งเป็นรถของสวนสัตว์จอดอยู่คันเดียว ตอนนั้นตนเองก็รู้สึกผิดสังเกต เพราะช่วงเวลาดังกล่าวไม่ใช่ช่วงเวลาให้อาหารสัตว์และเจ้าหน้าที่รายนี้อยู่คนเดียว ได้ลงมายืนข้างล่างของรถ ฝั่งคนขับ โดยเปิดประตูทิ้งไว้ แต่ไม่ได้ทำอะไร แค่ยืนเฉยๆ ลักษณะยืนหันหน้า เข้าหารถ หันหลังให้สัตว์ ซึ่งตนก็รู้สึกแปลกอย่างมาก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีต้นไม้บัง ตนก็เลยไม่เห็นว่าในมือถืออะไร จากนั้นประมาณ 3 นาที ก็มีสิงโตตัวหนึ่งค่อยๆ ย่องมาทางข้างหลังช้าๆ ก่อนจะตะครุบเข้าข้างหลังเจ้าหน้าที่รายดังกล่าวทันที โดยที่เจ้าหน้าที่รายดังกล่าวไม่ได้มีท่าที ขัดขืน ดิ้นรนต่อสู้ หรือร้องขอชีวิตแต่อย่างใด หลังจากนั้น สิงโตตัวอื่นๆ ก็ค่อยๆ เดินตามมารุมกัดตามที่ปรากฏในคลิป ตนเองไม่รู้จะต้องทำอย่างไร ทำได้เพียงแต่บีบแตรรถ เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวคันอื่น ที่ช่วยกันบีบแตร ผ่านไปประมาณ 10 […]

สิงโตสวนสัตว์เอกชน ลาก จนท.ไปรุมกัด สาหัส

กทม. 10 ก.ย.-สิงโตในสวนสัตว์เอกชน ทำร้ายเจ้าหน้าที่ ลากไปรุมกัด อาการสาหัส นักท่องเที่ยวบันทึกเหตุการณ์ไว้ได้ พ.ต.อ.นิรุชพล โยธามาตย์ ผกก.สน.คันนายาว เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเช้าวันนี้ (10 ก.ย.68) ได้รับรายงานว่า เกิดเหตุสิงโตทำร้ายเจ้าหน้าที่ ภายในสวนสัตว์ของเอกชน จากการตรวจสอบพบว่า เจ้าหน้าที่ลงไปให้อาหาร โดยไม่ปฏิบัติตามกฎของบริษัท จึงทำให้ถูกสิงโตรุมทำร้าย เบื้องต้นอาการสาหัส นำตัวส่งโรงพยาบาล ประสานพนักงานสอบสวนเชิญตัวเจ้าหน้าที่ของสวนสัตว์มาสอบปากคำ และลงบันทึกประจำวัน โดยยังไม่มีญาติของเจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายมาแจ้งความแต่อย่างใด ทั้งนี้ ในคลิปเป็นเหตุการณ์ที่นักท่องเที่ยวบันทึกไว้ได้ บริเวณส่วนจัดแสดงสิงโต มีรั้วขนาดใหญ่เปิดให้รถเข้า-ออก เป็นพื้นที่เปิด ให้นักท่องเที่ยวขับรถเข้าไปด้านใน มีป้ายกำกับชัดเจนห้ามเปิดกระจกและห้ามลงจากรถ ด้านในจะมีรถของสวนสัตว์จอดดูแลความปลอดภัย และบางช่วงมีการจัดแสดงโชว์ให้อาหารสิงโตที่อยู่ด้านใน.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

จนท.เทศบาล ถูกดินถล่มทับเสียชีวิตแล้ว

เชียงใหม่ 11 ก.ย. – ยื้อไม่ไหว เจ้าหน้าที่เทศบาลเมืองดอนแก้ว จ.เชียงใหม่ ที่ถูกดินถล่มทับระหว่างสำรวจรอยรั่วท่อระบายน้ำ เสียชีวิตแล้ว นาทีชีวิตขณะนายประเสริฐ วัย 56 ปี หัวหน้าก่อสร้างกองช่าง เทศบาลเมืองดอนแก้ว อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ลงไปตรวจสอบท่อระบายน้ำใต้ถนนในโครงการห้วยตึงเฒ่า หลังมีน้ำรั่วซึมจนเกิดโพรงใต้ดิน ทำให้ถนนทรุดตัว แต่ขณะตรวจดูท่อ ดินบนถนนเกิดทรุดตัวลงมาทับนายประเสริญ ก่อนเจ้าหน้าที่จะช่วยกันนำรถแบ็กโฮขุดดินออก ใช้เวลา 10 กว่านาที จึงนำร่างของนายประเสริฐออกมาได้ ก่อนเร่งนำตัวส่งโรงพยาบาลนครพิงค์ ล่าสุดเช้าวันนี้ (11 ก.ย.) นายประเสริฐเสียชีวิตแล้ว พบหลังกระดูกหักหลายจุด ซี่โครงทิ่มปอดและม้าม ท่ามกลางความเศร้าเสียใจของครอบครัวและเพื่อนร่วมงาน เนื่องจากนายประเสริฐเป็นคนที่ทุ่มเทกับงาน เป็นที่รักของเพื่อนร่วมงาน ด้านนายเกรียงไกร จันณะคำ ผอ.กองช่างเทศบาลเมืองดอนแก้ว ซึ่งเป็นหัวหน้างานของนายประเสริฐ เล่าว่า ขณะเกิดเหตุ ตนและนายประเสริฐลงไปดูจุดท่อรั่วรอบแรกเพื่อหาสาเหตุ ก่อนจะซ่อมถนนและกลบดิน แต่รอบที่สอง นายประเสริฐลงไปดูเองอีกรอบ จนดินด้านบนถล่มลงมาทับ หลังเกิดเหตุเร่งช่วยเหลือนายประเสริฐอย่างเต็มกำลังและปฐมพยาบาลเบื้องต้น ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ซึ่งนายประเสริฐยังรู้สึกตัว จนนำตัวส่งโรงพยาบาล แต่สุดท้ายก็เสียชีวิตเมื่อตี […]

บ้านห้วยเต่าปะทะเดือด! ปิดล้อมกลุ่มก่อความไม่สงบ

สงขลา 11 ก.ย.- ปะทะเดือด! เจ้าหน้าที่ปิดล้อมไล่ล่ากลุ่มก่อความไม่สงบ บ้านห้วยเต่า ขณะที่รถหุ้มเกราะทหารตกเหวขณะเข้าไปช่วยเหตุปะทะ บาดเจ็บ 8 นาย เกิดเหตุปะทะที่บ้านห้วยเต่า อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา ขณะที่ชุดจรยุทธกำลังลาดตระเวนในพื้นที่ได้พบกลุ่มคนร้ายประมาณ 4-5 คน ซึ่งทราบภายหลังว่าเป็นชุดของนายอุสมี ได้เปิดฉากยิงใส่เจ้าหน้าที่และหลบหนีเข้าไปในบ้านห้วยเต่า ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ 3 ฝ่ายของอำเภอสะบ้าย้อยและพื้นที่ใกล้เคียงได้ปิดล้อมพื้นที่ไว้แล้ว เจ้าหน้าที่ความมั่นคงจังหวัดชายแดนภาคใต้ บอกว่า นายอุสมีน่าจะมีกำลังอยู่ประมาณ 4-5 คน และเคลื่อนไหวในพื้นที่อำเภอสะบ้าย้อยเป็นหลัก ขณะที่รถหุ้มเกราะทหาร ร.5 พัน 3 ตกเหว ขณะเข้าไปช่วยเหตุปะทะ มีทหารบาดเจ็บ 8 นาย นำตัวส่ง รพ. นาทวี แล้ว ด้าน พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ได้รับรายงานเรื่องการปะทะเดือด พื้นที่บ้านห้วยเต่า แล้ว -สำนักข่าวไทย

อุตุฯ เตือนภาคเหนือมีฝนตกหนักบางแห่ง-กทม.ฟ้าคะนอง 70%

กรุงเทพฯ 11 ก.ย. – กรมอุตุฯ เตือนภาคเหนือมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนัก อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก ส่วนกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง 70% กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้ โดยภาคเหนือมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม เนื่องจากร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือและตอนบนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนมีกำลังปานกลาง โดยมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนบน มีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง กรุงเทพฯ และปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส.-สำนักข่าวไทย

เร่งหาสาเหตุ จนท.สวนสัตว์ลงจากรถ ก่อนถูกสิงโตรุมขย้ำ

10 ก.ย. – เหตุสลด จนท.สวนสัตว์เอกชนแห่งหนึ่งถูกสิงโตรุมขย้ำจนเสียชีวิต ขณะลงจากรถ ทางสวนสัตว์เร่งหาสาเหตุลงไปทำไม ทั้งที่เจ้าตัวทราบกฎของสวนสัตว์ดีอยู่แล้ว นักท่องเที่ยวอินเดียบันทึกเหตุการณ์ขณะเจ้าหน้าที่สวนสัตว์เอกชนแห่งหนึ่งลงจากรถ ก่อนถูกสิงโตตัวแรกเข้ามากัดจากทางด้านหลัง แล้วลากไปให้เพื่อนสิงโตอีก 4 ตัว รุมขย้ำ โดยในคลิปเจ้าหน้าที่ไม่ได้ดิ้นขัดขืน และไม่ได้ร้องขอความช่วยเหลือ ก่อนนอนแน่นิ่งและถูกรุมกัดจนเสียชีวิต ขณะที่ พ.อ.นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์ อดีตอาจารย์และแพทย์ศัลยกรรม โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า หรือเป็นที่รู้จักในฐานะหมอที่มาช่วยเหลือคดีการเสียชีวิตของแตงโม ซึ่งเป็นผู้เห็นเหตุการณ์สิงโตรุมขย้ำเจ้าหน้าที่สวนสัตว์ ระบุว่า วันนี้ตนมาเที่ยวสวนสัตว์ โดยได้ขับรถเข้าไปในโซนซาฟารี ขณะนั้นมีรถนักท่องเที่ยวหลายคันเข้าชม เมื่อมาถึงบริเวณโซนสิงโต พบว่ามีรถของเจ้าหน้าที่รายหนึ่ง ซึ่งเป็นรถของสวนสัตว์จอดอยู่คันเดียว ตอนนั้นตนเองก็รู้สึกผิดสังเกต เพราะช่วงเวลาดังกล่าวไม่ใช่ช่วงเวลาให้อาหารสัตว์ และเจ้าหน้าที่รายนี้อยู่คนเดียว ได้ลงมายืนข้างนอกรถ ฝั่งคนขับ โดยเปิดประตูรถทิ้งไว้ แต่ไม่ได้ทำอะไร แค่ยืนเฉยๆ ลักษณะยืนหันหน้าเข้าหารถ หันหลังให้สัตว์ ซึ่งตนรู้สึกแปลกใจอย่างมาก แต่เนื่องจากมีต้นไม้บัง ตนก็เลยไม่เห็นว่าในมือถืออะไร จากนั้นประมาณ 3 นาที มีสิงโตตัวหนึ่งค่อยๆ ย่องมาข้างหลัง ก่อนตะครุบเข้าทางด้านหลังเจ้าหน้าที่ทันที โดยเจ้าหน้าที่รายดังกล่าวไม่ได้มีท่าทีขัดขืน ดิ้นรนต่อสู้ หรือร้องขอชีวิตแต่อย่างใด หลังจากนั้นสิงโตตัวอื่นๆ ก็ค่อยๆ […]