“สุทิน”มองรัฐแก้โรคระบาดได้แต่ทำประเทศล้มเพราะศก.

รัฐสภา 31 พ.ค. -ประชุมสภาพิจารณา พ.ร.ก.กู้เงิน 3 ฉบับ วันสุดท้าย “สุทิน” ชี้ รัฐบาลไม่กำหนดแหล่งกู้เงินชัดเจน ระบุ ป้องกันโรคระบาดได้ แต่ประเทศล้มเพราะพิษเศรษฐกิจ ตั้งข้อสังเกตเงื่อนไขช่วย SMEs ล้มเหลว กลุ่มทุนขนาดใหญ่ได้ประโยชน์ 


การประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาพ.ร.ก.กู้เงิน วันนี้(31 พ.ค.) เป็นวันสุดท้าย เริ่มขึ้นในเวลา 09.30 น.โดยมีนายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานการประชุม โดยฝ่ายรัฐบาล คณะรัฐมนตรี(ครม.) และส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล เหลือเวลาอภิปราย 5 ชั่วโมง 32 นาที ขณะที่ฝ่ายค้านเหลือเวลาอภิปราย 4 ชั่วโมง 55 นาที ทั้งนี้ หลังการลงมติพ.ร.ก.กู้เงิน 3 ฉบับ ที่ประชุมจะพิจารณาพ.ร.ก.การประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์และลงมติเวลา 20.00 น. โดยเผื่อเวลาเคอร์ฟิว ซึ่งนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ยืนยันว่า วันนี้พิจารณาแล้วเสร็จอย่างแน่นอน

ทันทีที่เปิดการประชุม นายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมมรัฐบาล(วิปรัฐบาล) ขอบคุณประธานการประชุมที่ควบคุมการอภิปรายตลอด 4 วันที่ผ่านมาให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย หากเป็นไปตามนี้ คาดการณ์ว่า 13.30 นาทีน่าจะลงมติพ.ร.ก.กู้เงิน 3 ฉบับ และช่วง 18.00-19.00 น่าจะลงมติพ.ร.ก.การประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ได้


สำหรับการอภิปราย พ.ร.ก.กู้เงินวันสุดท้าย สมาชิกฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล สลับกันอภิปราย และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องชี้แจงประเด็นที่สมาชิกตั้งข้อสังเกต โดยนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายขอบคุณอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.) ที่เป็นกำลังหลักการการเผชิญสถานการณ์โควิด-19 พร้อมกล่าวขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ ฝ่ายกำหนดนโยบายทั้งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19 : ศบค.) และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยเข้าใจว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจำเป็นต้องประกาศใช้พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และจะดีต่อวิถีชีวิตใหม่หรือ New Normal ในอนาคต พร้อมยกตัวอย่างในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เคยมีโครงการไทยเข้มแข็ง ได้ช่วยค่าตอบแทนเพิ่มเติมและจัดตั้งกองทุนฌาปนกิจอสม. ซึ่งอสม.ได้รับการชดเชยเมื่อเสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 5 แสนบาท พร้อมเสนอให้อสม.ที่ทำงานเกิน 30 ปีได้เครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นเหรียญเงินมงกุฎไทย เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ 

นายชินวรณ์ เสนอให้ใช้งบประมาณ 400,000 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมลงไปสู่ฐานเศรษฐกิจคือชนบท ต้องพัฒนาการเจริญเติบโตไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน ทำเกษตรที่มีรายได้สูง ทำเกษตรอัจฉริยะ ให้เกษตรกรมีกระบวนการ มีเป้าหมาย มีตลาด และมีรายได้ที่ชัดเจนในอนาคต การรวมตัวกันเพื่อเกิดอุตสาหกรรมอาหารและการท่องเที่ยวทางการเกษตร นำไปสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์เศรษฐกิจ ฐานราก เศรษฐกิจชุมชน เกษตรพอเพียงผสมผสานนำไปสู่สินค้าบริการชุมชนและท่องเที่ยวชุมชนอย่างแท้จริง


นายชินวรณ์ กล่าวว่า หลังจากสถานการณ์โควิด-19 เชื่อว่าสถานการณ์ของประเทศจะต้องเปลี่ยนแปลงไป อยากเรียกร้องให้สมาชิกรวมถึงรัฐบาล จะต้องหันกลับมาสู่การสร้างสังคมไทยหลังโควิด-19 ที่ไม่เหมือนเดิมแน่นอน โดยจะต้องสร้างสังคมที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีออนไลน์ การศึกษาทางไกล ส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิตอลและธุรกิจออนไลน์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องเกิดขึ้นในอนาคต และสิ่งสำคัญคือด้านสุขภาพอนามัย จะต้องมีการรักษาทางไกล ต้องดูแลโครงการอสม. สร้างโรงพยาบาลสาธารณสุขประจำตำบลให้เข้มแข็งอย่างจริงจัง และเปลี่ยนการบริหารจัดการที่ดีให้เกิดขึ้น

ด้าน น.ส.ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายถึงพ.ร.ก. การรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือพ.ร.ก.อุ้มตราสารหนี้ ซึ่งพ.ร.ก.นี้ตั้งกองทุนรักษาสภาพคล่องของตราสารหนี้ (BSF) เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนให้บริษัทที่ออกตราสารหนี้ เพื่อเสริมสภาพคล่อง โดยให้กองทุนลงทุนในตราสารหนี้เอกชนที่ออกใหม่ให้นำเงินไปไถ่ถอนตราสารหนี้เดิมที่มีกำหนดชำระเงินภายในปี 2564 เนื่องจากกลัวว่าวิกฤตโควิด-19 จะทำให้คนไม่มั่นใจและไม่กล้าซื้อตราสารหนี้ที่ออกใหม่ หรือเกิดการเทขายก่อนกำหนด เป็นผลให้ต้นทุนของบริษัทนั้นสูงขึ้นโดยตราสารหนี้ที่ได้รับความช่วยเหลือจะต้องเข้าเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ซึ่งส่วนใหญ่ถูกจัดระบบการลงทุนจะเป็นบริษัทใหญ่ ซึ่งหลักการของกองทุนดูเหมือนจะดี  เป็นการนำเงินมาอุ้มตลาดการเงินไม่ให้ล่มสลาย  แต่เมื่อนำมาเทียบกับมาตรการช่วยเหลือประชาชนของรัฐบาล ทำให้เห็นว่ารัฐบาลมีความลำเอียงในขณะที่เกิดสภาวะโควิด-19 เช่นนี้ ยังช่วยเหลือกลุ่มทุนใหญ่มากกว่ากลุ่มทุนเล็ก และประชาชน 

น.ส.ณธีภัสร์ กล่าวว่า หากเปรียบเทียบสัดส่วนการให้ความช่วยเหลือระหว่างกลุ่ม SME กับ บริษัทขนาดใหญ่ เมื่อดูจากขนาดตลาดและสินเชื่อจากธนาคาร 15.3 ล้านล้านบาท เป็นสินเชื่อให้กลุ่ม SME 5.1 ล้านล้านบาท รัฐบาลให้ความช่วยเหลือซอฟโลน 5 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 10% ของตลาดสินเชื่อ SME  แต่เมื่อดูตลาดตราสารหนี้อยู่ที่ 3.8 ล้านล้านบาท รัฐบาลให้เงินช่วยเหลือ 4 แสนล้านบาท คิดเป็น 45% แปลว่าหากดูเฉพาะเรื่องเงินที่รัฐบาลให้พยุงตลาดทุนใหญ่ได้มากกว่า เอสเอ็มอี เกือบ 5 เท่า โดย พ.ร.ก. ฉบับนี้กำหนดว่าตราสารหนี้ที่ต้องเข้าร่วมของการจะต้องระดมทุนจากแหล่งอื่นให้ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 มูลค่าตราสารหนี้ที่เข้าหลักเกณฑ์ทั้งหมด 8.9 แสนล้านบาท แปลว่าอย่างมากที่สุดที่ประสงค์จะเข้าร่วมโครงการได้จะไม่เกิน 445,000 ล้านบาท

น.ส.ณธีภัสร์ กล่าวว่า วงเงินที่รัฐบาลให้ตามพ.ร.ก.นี้คือ 4 แสนล้านบาท จะเห็นว่าครอบคลุมบริษัทใหญ่ถึงกว่า 90%  แต่วงเงินที่รัฐบาลตั้งให้กลุ่ม SME จากอบอุ้มได้เพียง 10% เท่านั้น แต่ยังมีเรื่องที่น่าตกใจยิ่งกว่าเมื่อนำวงเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล มาหารจำนวนผู้ได้รับประโยชน์จากมาตรการ จะพบว่า พ.ร.ก.อุ้มตราสารหนี้ วงเงิน 4 แสนล้านบาทฉบับนี้  มีข้อมูลจากสมาคมตราสารหนี้ไทย มีบริษัทที่จะเข้าเกณฑ์ 125 บริษัท เฉลี่ยแล้วจะได้รับการจัดสรรวงเงินรายละ 3,200 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับ พ.ร.ก. ให้สินเชื่อ SME วงเงิน 5 แสนล้านบาท จำนวน SME ที่เข้าหลักเกณฑ์ช่วยเหลือจะมี 1.9 ล้านราย ได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลเฉลี่ยรายละ 263,158 บาทเท่านั้น ต่างกันถึง ต่างกัน 12,167 เท่า ซึ่งสัดส่วนนี้บ่งบอกว่ารัฐบาลลำเอียงเข้าข้างกลุ่มทุนใหญ่อย่างชัดเจน

“ฝั่งหนึ่งเป็นเงินกู้ ฝั่งหนึ่งเป็นหุ้นกู้ ถือเป็นการเสริมสภาพคล่องให้กลับช่วงวิกฤติเศรษฐกิจเหมือนกัน แต่ทำไมวงเงินที่ได้รับถึงต่างกันกว่า 1.2 หมื่นเท่า รัฐบาลอาจจะอ้างว่าหากทุนใหญ่ล้มจะส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจในวงกว้าง แต่ถ้ากลุ่ม เอสเอ็มอี ล้ม เศรษฐกิจจะเสียหายหรือไม่ แรงงานจะถูกเลิกจ้างหรือไม่ คนที่จะตายคือกลุ่มทุนเล็ก ที่ไม่สามารถหล่อเลี้ยงบริษัทได้ ต่างจากบริษัทใหญ่ที่มีแต้มต่อในการกู้เงิน ทางที่ดีรัฐบาลและแบงค์ชาติ ควรประเมินและมีการจัดสรรงบประมาณใหม่ในการช่วยเหลือกลุ่มต่างๆให้เป็นธรรม ไม่บิดเบี้ยว และละไม่ลำเอียงอย่างที่เป็นอยู่” น.ส.ณธีภัสร์ กล่าว 

น.ส.ณธีภัสร์ เสนอให้กลุ่มทุนใหญ่ที่ดูแลตัวเองประกาศว่าจะไม่ขอใช้ประโยชน์จาก พ.ร.ก.ฉบับนี้ ซึ่งจะทำให้วงเงินไม่ต้องใช้ ถึง 4 แสนล้านบาท และให้ธนาคารแห่งประเทศไทย นำกลับไปปรับวงเงินเพื่อช่วยเหลือกลุ่ม SME ได้เพิ่มเติม พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าการตั้งคณะกรรมการตามพ.ร.ก.มีอำนาจมาก ส่วนใหญ่มาจากธนาคารแห่งประเทศ และกระทรวงการคลัง แม้จะเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ แต่อาจถูกครอบงำหรือสั่งการได้ อีกทั้งอำนาจหน้าที่ยังล้นฟ้าสามารถพิจารณาให้บริษัทที่ไม่สามารถระดมทุนได้ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดให้ได้รับสิทธิ์ได้ซึ่งไม่ส่งผลดี 

ขณะที่นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย อภิปรายสรุปข้อเสนอแนะการอภิปราย ประกอบการลงมติพระราชกำหนด 3 ฉบับ เกี่ยวกับการแก้ไขและเยียวยาสถานการณ์โควิด-19 แม้จะเป็นการกู้เงินโดยตรง 1 ล้านล้านบาท และอีก 900,000 ล้านบาท เป็นสภาพคล่อง แต่ถือเป็นเงินที่ประชาชนต้องรับผิดชอบด้วยทั้งหมด จึงเป็นสิทธิ์ที่ประชาชนควรจะรู้ 

“นายธนินท์ เจียรวนนท์ เจ้าสัวซีพียังบอกว่าจำเป็นต้องกู้ 3 ล้านล้านบาทด้วยซ้ำ แต่หากกู้มาแล้วเจ๊ง ก็ไม่ต้องกู้ หรือกู้แค่ 600,000 ล้านบาท เพื่อการเยียวยา นอกนั้นให้เป็นไปตามงบประมาณปกติ แต่หากรัฐบาลยังสับสน ไม่มีอะไรเป็นตัวชี้วัด สุดท้ายจะทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในสภาพเดียวกันกับการบินไทย รวมถึงไม่มีความชัดเจนว่าจะกู้จากแหล่งเงินที่ใด หากจะกู้ IMF หรือ World Bank ก็เสี่ยงเกิดการแทรกแซงกำกับประเทศ แต่ก็เป็นไปได้ยากที่จะสามารถกู้ได้ หากระบบตรวจสอบภายในยังเป็นแบบนี้” นายสุทิน กล่าว

“โควิด-19 โจมตีเป็นระยะเวลา 3 เดือน ไม่ใช่เฉพาะแนวรบด้านสุขภาพเท่านั้น แต่กระทบด้านเศรษฐกิจ สังคมด้วย แต่รัฐบาลประมาท หลงตัวเองว่าควบคุมได้ จึงมีความเสี่ยงหากมีการระบาดรอบ 2  ซึ่งในหลายประเทศในกลุ่มอาเซียน เช่น เวียดนาม ลาว กัมพูชา สามารถควบคุมสถานการณ์ได้และไม่กู้เงิน ส่วนสาเหตุที่หลายประเทศแถบอาเซียนสามารถควบคุมการระบาดได้ดี เพราะภูมิอากาศร้อน ควบคุมการระบาดได้ง่าย แต่ต้องรับมือหากระบาดอีกในหน้าหนาวจะเอาอยู่หรือไม่ ขณะที่หมอและบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งทำงานได้ดี แต่อย่าตกไปเป็นเครื่องมือของรัฐบาล” นายสุทิน กล่าว

นายสุทิน กล่าวถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยเปรียบประเทศเหมือนคนป่วยโรคเบาหวานที่มีพล.อ.ประยุทธ์เป็นหมอรักษา ให้ยาโดยการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ปิดเมือง จนได้ผลน้ำตาลลดลง แต่กลับเกิดผลข้างเคียงที่ไต คือระบบเศรษฐกิจพังทั้งประเทศ ซึ่งขณะนี้ถูกต้องแล้วที่ต้องเร่งแก้ปัญหาเยียวยาให้คนรอดตายก่อน แต่เกิดปัญหาเยียวยามาครอบคลุม ไม่ทันเวลา ล้มเหลว การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ายังไม่สามารถทำให้ดีได้ ขณะเดียวกันไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ไม่มีตัวชี้วัดที่ชัดเจน ส่วนหนี้สาธารณะวันที่นายกรัฐมนตรีเข้าสู่ตำแหน่งอยู่ที่ร้อยละ 36 แต่ปี 2564 หนี้สาธารณะจะถึงร้อยละ 57 ของ GDP เป็นการกู้เงินจนเต็มโควตา ไม่เหลือให้รัฐบาลต่อไป ขณะที่กลุ่มเจ้าสัวเริ่มมีความเคลื่อนไหวเอาเงินไปฝากธนาคารไว้ถึง 800,000 ล้านบาทแล้ว

“เรื่องการตั้งงบฟื้นฟูเศรษฐกิจ 400,000 ล้านบาท นายกรัฐมนตรียังใช้วิธีคิดแบบเดิม ส่วนใหญ่เป็นการอบรมสัมมนาภาคการเกษตร จึงขอให้นำงบประมาณไปพัฒนาแห่งน้ำ สร้างการตลาดให้ชัดเจน ซึ่งรัฐบาลต้องทำให้ถูกทิศ คิดให้ถูกทาง ถ้าใช้เกษตรอัจฉริยะก็แค่ครอบคลุมไม่กี่กลุ่ม กล้าหรือไม่ ที่จะใช้งบ 7 แสนล้านบาท เพื่อพัฒนาแหล่งน้ำ เพราะไม่เชื่อว่าการอบรมจะทำให้ภาคการเกษตรแข็งแกร่งจริง ขณะที่ภาคการท่องเที่ยว เมื่อประชาชนไม่มีเงิน ก็ไม่มีอารมณ์ไปเที่ยว เกิดเป็นปัญหา สุดท้ายงบประมาณส่วนนี้จะล้มเหลวอีก ขณะที่งบฟื้นฟูด้านสาธารณสุข 45,000 ล้านบาท เชื่อว่าจะทำให้ประเทศเป็นศูนย์กลางการแพทย์ได้” นายสุทิน กล่าว

นายสุทินกล่าวถึงการช่วยเหลือ SME ว่า มาตรการทำให้ช่วยเหลือรายใหญ่จำนวนมาก รายเล็กตกไป และมีข่าวว่ากลุ่มทุนจีนสามารถเข้าถึงได้ด้วย ยิ่งถ้าประเทศไทยเข้าสู่การเป็น CPTPP อีก ยิ่งตายสนิท เพราะจะไม่เหลือเงื่อนไขทางเศรษฐกิจไว้เลย ทำให้เมล็ดพันธุ์ไม่มีสิทธิ์เอามาปลูกใหม่ รัฐวิสาหกิจในประเทศเปิดช่องให้ต่างชาติมาถือหุ้นได้ โดยกลุ่ม SME แห่มาหาตนเองที่พรรคเพื่อไทย มาปรับทุกข์ขอให้ออกกฎหมายตั้งสภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพราะองค์กรไม่แข็งแรงไม่มีอำนาจต่อรอง รวมตัวกันไม่ติด จึงมีการเสนอต่อสภาแล้ว เป็นเรื่องที่รออยู่ในวาระ

สำหรับการออก พ.ร.ก.ซื้อหุ้นกู้จากภาคเอกชน นายสุทิน อภิปรายว่า การใช้สภาพคล่องของธนาคารแห่งประเทศไทย สุดท้ายก็มาเป็นภาระหนี้ของประเทศ ซึ่งในประวัติศาสตร์ ธนาคารแห่งประเทศไทยเคยสร้างเคยตั้งกองทุนไปซื้อหนี้เสียจากบริษัทเอกชนจนต้องขายหนี้เสียราคาต่ำในที่สุดประเทศ เป็นหนี้ 8 แสนล้านบาทจนวันนี้ แล้ววันนี้จะไปซื้อหุ้นกู้เอกชน 

“ถามว่ามีเหตุผลหรือไม่ ซึ่งมีเหตุผลว่าตลาดทุนพวกนี้มูลค่า 3.8 ล้านล้านบาท แต่มองว่าหลายบริษัทใหญ่ ๆ สามารถช่วยตัวเองได้ ไม่จน มีสินทรัพย์เป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ รายงานสํานักข่าวบลูมเบิร์กระบุว่ามีทุนใหญ่ของไทยระดมเงินฝากร่วม 800,000 ล้านบาท แล้ว ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็กล่าวว่าไม่มีความรู้เรื่องเศรษฐกิจ ไม่ทันเขา และกำลังจะสร้างตำนานล้มบนฟูกอีกรอบ แกล้งจน แกล้งไม่มีใช้ แกล้งล้มละลาย แล้วให้คนอื่นไปใช้หนี้แทน แล้วตัวเองก็หอบทรัพย์ออกไป จึงมองว่าแบงค์ชาติต้องสร้างความเชื่อมั่น ไม่จำเป็นอย่าลงไปทำเอง” นายสุทิน กล่าว

นายสุทิน กล่าวว่า การช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ อยู่ที่เป้าหมายของรัฐบาล หากอยากให้วงล้อทางเศรษฐกิจหมุนสามารถทำได้โดยการลงเม็ดเงินในระบบ แต่ถ้าวงล้อเศรษฐกิจไม่หมุน ทุกอย่างจะตีกลับ กลายเป็นค่าใช้จ่ายภาครัฐที่ไม่จำเป็นทันที หนี้สาธารณะอาจสูงถึงร้อยละ 70 ของ GDP พร้อมชี้ให้เห็นว่าปัจจัยโลกเปลี่ยนไปเป็นเศรษฐกิจแบบชาตินิยม ตราบใดที่ยังไม่ปฏิรูปประเทศ ก็ยังมีเรื่องให้ต้องบ่นกันอยู่ การปฏิรูปที่สำคัญคือระบบราชการและจะลองรับ New Normal ได้อย่างไร ถ้าปล่อยให้ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจเป็นอย่างนี้ สุดท้ายจะเป็นการใช้ชาวบ้านคนจนเป็นที่ผ่านเงินเท่านั้น 

“รัฐบาลต้องการแค่รอบหมุนทางเศรษฐกิจ ถือว่าเป็นอะไรที่ใจร้ายมาก เพราะเงินกู้นี้สุดท้ายจะไม่ฟูและเป็นหนี้ เชื่อว่าพล.อ.ประยุทธ์จะหนีก่อนที่จะเศรษฐกิจจะล้มต่อหน้า และให้คนอื่นมาอุ้มศพต่อ ประเทศต้องรับกรรมรับผิดชอบ ชาวบ้าน 70 ล้านกว่าคนต้องมาใช้หนี้ มาตรการทุกอย่างจะรีดเงินถึงชาวบ้านหมด” นายสุทิน กล่าว

สำหรับการตรวจสอบ นายสุทิน กล่าวว่า การตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้เงินกู้มีปัญหา โดยคณะกรรมการวินิจฉัยข้อขัดแย้งในการปฏิบัติจัดซื้อจัดจ้าง ไปแก้ระเบียบปกติ ว่าไม่ต้องทำการจัดซื้อจัดจ้างระบบ E-Bidding ไปตลอดการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งเหมือนการเปิดทางให้มีการทุจริต จึงควรให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญมาตรวจสอบ แต่ฝ่ายรัฐบาลก็ยังเงียบ มีเพียงเงื่อนไขให้รายงานต่อสภาฯ ปีละครั้งเท่านั้น พร้อมตั้งข้อสังเกตปัญหาการใช้กองทุนประกันสังคม ที่ประชาชนฝากไว้ แต่ยังไม่สามรถนำเงินออกมาใช้ได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาพ.ร.ก.กู้เงิน ในวันสุดท้ายเวลา 13.09 น. ก่อนลงมติ โดยนายกรัฐมนตรีโบกมือทักทายสื่อมวลชน แต่ไม่ได้ให้สัมภาษณ์ และได้ขึ้นห้องประชุมทันที ขณะที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคงเข้าร่วมการประชุมสภาในเวลาไล่เลี่ยกับนายกรัฐมนตรี โดยขึ้นลิฟท์จากลานจอดรถไปยังห้องประชุมทันที.-สำนักข่าวไทย   

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

นายกฯ รับคลิปเสียงจริง ซัด “ฮุนเซน” ปล่อยหวังรัฐบาล-กองทัพแตกแยก

ทำเนียบ 18 มิ.ย.- นายกฯ รับคลิปเสียงคุย “ฮุนเซน” เป็นของจริง แจงปมบอกแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝ่ายตรงข้าม เป็นเทคนิคการเจรจาต่อรองสร้างสันติภาพ หลัง “ฮุนเซน” โกรธ ชี้จุดประสงค์หวังสร้างคะแนนนิยมรัฐบาลกัมพูชาที่ไม่สนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รับไม่ไว้ใจ จากนี้ไม่ขอคุยส่วนตัว ปัดตอบสัมพันธ์ 2 ตระกูล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงด่วนกรณีมีคลิปเสียงสนทนาระหว่างที่พูดคุยกับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา เผยแพร่ออกมาผ่านโซเชียลมีเดีย โดยยอมรับว่าเป็นคลิปจริง เป็นการคุยกันเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งตนได้ทราบข้อมูลจากล่ามที่แปลว่า ทางสมเด็จฮุน เซน โกรธแม่ทัพภาคที่ 2 ที่มีการพูดกันก่อนหน้านั้น เมื่อได้คุยกัน ตนจึงบอกว่า แม่ทัพภาคที่ 2 พูดกันแบบนี้ ในเมื่อเราทั้งไทยและกัมพูชาเป็นฝั่งตรงข้ามกันอยู่แล้ว ในตอนนั้นก็ต้องพูดแบบนี้ อย่าไปคิดเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่พยายามจะทำความเข้าใจ เพราะทางฝั่งสมเด็จฮุน เซน โกรธเรื่องนี้ และเป็นเทคนิคในการพูดหลังไมค์หลังบ้านแบบส่วนตัว ซึ่งการคุยโทรศัพท์ก็ไม่ควรเอามาเปิดเผย เพราะเป็นเทคนิคในการเจรจาพูดคุยต่อรอง ส่วนตัวคิดว่า ตนทำเพราะมีจุดมุ่งหมายและมีประเด็นที่จะรักษาไว้ซึ่งความสงบสุขของบ้านเมืองและรักษาอธิปไตยของไทยไว้ ให้ผลประโยชน์อยู่กับประเทศชาติและประชาชน ตนก็คุยด้วยความซอฟต์และความนุ่มนวล เพราะบางทีเวลาคุยกันส่วนตัวก็เรียกกันลุงหลาน […]

ทบ.ติดแฮชแท็กเซฟ มทภ.2

กทม. 18 มิ.ย.- ทบ.ติดแฮชแท็กเซฟ มทภ.2 ส่วนหน้าสโมสรกองทัพบก ถ.วิภาวดีรังสิต ขึ้นข้อความให้กำลังใจผ่านจอแอลอีดี ขณะที่เพจโซเชียลกองทัพ แห่โพสต์ข้อความ #ศักดิ์ศรีของทหาร 18 มิ.ย.68 ภายหลังจากที่มีคลิปเสียงการพูดคุยระหว่าง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา หลุดออกมา และมีการพูดถึง พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ว่าอยู่ฝั่งตรงข้าม ล่าสุดเพจเฟซบุ๊กของหน่วยทหารต่างๆ อาทิ กรมกิจการพลเรือนทหารบก ได้โพสต์ข้อความว่า พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เรื่อง #ศักดิ์ศรีของทหาร 1. ทหาร คือ ผู้ที่ได้รับเกียรติอย่างสูงจากประชาชนทั้งชาติ ให้เป็นสุภาพบุรุษ ถืออาวุธเพื่อป้องกันประเทศ 2. ทหาร เป็นผู้เสียสละประโยชน์สุขส่วนตัว เพื่อความผาสุกของประชาชนและความอยู่รอดของชาติ 3. ทหาร คือ ผู้ที่รักและบูชาเกียรติยศมากกว่าเงิน นอกจากนี้ เพจ Smart Soldiers Strong […]

“อนุทิน” บอก “จบแล้วครับนาย” ขออย่าปรามาส จะเป็นฝ่ายค้านให้ดู

กทม. 18 มิ.ย.-“อนุทิน” สั่ง จนท.ขนของออกจากกระทรวง บอก “จบแล้วครับนาย” ไม่ต้องคุยนายกฯ หลัง “หมอมิ้ง” ยื่นไพ่ใบสุดท้าย ขออย่าปรามาส จะเป็นฝ่ายค้านให้ดู เตรียมซ้อมกับ “ไอซ์ รักชนก” เวลา 13.35 น. วันที่ 18 มิ.ย.68 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์หลังนายกฯ ระบุว่ายังไม่แจ้งเงื่อนไขการปรับ ครม. ว่า ตนยังไม่ได้ยิน ซึ่งเมื่อวานนี้ได้คุยกับ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกฯ ซึ่งเราก็บอกท่าทีเราไปแล้ว เมื่อถามว่า การขนของออกจากห้องทำงาน ถือเป็นการปิดประตูเจรจาหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ได้คุยกับ นพ.พรหมินทร์ ชัดเจนแล้วว่า เราคงไม่ได้เปลี่ยนอะไร และ นพ.พรหมินทร์ ได้ย้ำเงื่อนไขของพรรคเพื่อไทยว่าเป็นแบบนี้ เมื่อถามต่อว่า ต้องคุยกับนายกฯ อีกครั้งหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ตนยังไม่ได้คุยกับนายกฯ และเมื่อวาน […]

“ฮุน เซน” ปล่อยแล้ว คลิปเสียงฉบับเต็ม 17 นาที

กัมพูชา 18 มิ.ย. – “ฮุน เซน” ปล่อยแล้ว คลิปเสียงคุย “แพทองธาร” ฉบับเต็ม 17 นาที เผยบันทึกเสียงสนทนาเพื่อความโปร่งใส ส่งต่อให้บุคคลอื่นราว 80 คน เว็บไซต์ขแมร์ ไทม์ส รายงานว่า “นายฮุน เซน” ประธานวุฒิสภากัมพูชาเปิดเผยผ่านสื่อโซเชียล มีเนื้อหาระบุว่า “เมื่อเย็นวันที่ 15 มิถุนายน ผมได้สนทนาทางโทรศัพท์กับนายกรัฐมนตรีของไทยเป็นเวลา 17 นาที 6 วินาที โดยมีนายเคลียง ฮวต รองผู้ว่าราชการกรุงพนมเปญ ทำหน้าที่ล่ามแปลภาษา ซึ่งตามปกติแล้วเพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าใจที่คลาดเคลื่อนหรือตีความหมายผิดในเรื่องที่เป็นทางการ จึงจำเป็นต้องทำการบันทึกเสียงสนทนาเพื่อความโปร่งใส รวมถึงเพื่อวัตถุประสงค์ภายในของกัมพูชาด้วย และจากนั้นเป็นต้นมา ตนเอง ก็ได้แชร์เทปเสียงสนทนานี้ให้กับบุคคลอื่นๆ ราว 80 คน ที่รวมถึงสมาชิกคณะกรรมการถาวรของพรรค คณะทำงานวุฒิสภา หน่วยงานเฉพาะกิจด้านการต่างประเทศ หน่วยงานด้านการศึกษาและการเข้าถึงกลุ่มกิจการชายแดน และสมาชิกกองกำลังติดอาวุธ ซึ่งในจำนวนคนเหล่านี้อาจมีความเป็นไปได้ที่จะมีบางคนที่ไม่พอใจนายกรัฐมนตรีของไทย ฮุน เซนโพสต์ต่อว่า “แต่หลังจากการสนทนาผ่านไปเพียงไม่กี่ชั่วโมง ผู้นำไทยกลับออกมากล่าวหาผู้นำกัมพูชาอย่างเปิดเผยว่าทำงานการเมืองอย่างไม่เป็นมืออาชีพ และขับเคลื่อนประเด็นทางการเมืองผ่านทางเฟซบุ๊ก […]

ข่าวแนะนำ

อุตุฯ เตือนฝนตกหนักบางแห่งบริเวณตะวันออก-อีสานตอนบน-ใต้ฝั่งตะวันตก

กรุงเทพฯ 20 มิ.ย. – กรมอุตุฯ เตือนฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคตะวันออก ภาคอีสานตอนบน และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนัก ส่วนกรุงเทพฯ-ปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง 60% ส่วนมากช่วงบ่ายถึงค่ำ กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยจะเริ่มมีฝนเพิ่มขึ้น โดยมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ทั้งนี้ เนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย เริ่มมีกำลังแรงขึ้น ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมประเทศเวียดนามตอนบน สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังปานกลาง โดยมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทย เดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง กรุงเทพฯ และปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ ส่วนมากในช่วงระหว่างบ่ายถึงค่ำ อุณหภูมิต่ำสุด 25-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-38 องศาเซลเซียส.-สำนักข่าวไทย

9 ทันโลก : “คลิปเสียง” อาวุธทางการเมืองในกัมพูชา

กัมพูชา 19 มิ.ย. – กรณีคลิปเสียงที่นายฮุน เซน เปิดเผยออกมา หลายท่านคงสงสัยว่า เขาเคยใช้วิธีนี้กับใครอีกหรือไม่ รายงาน 9 ทันโลก วันนี้ พาไปติดตามการปล่อยคลิปเสียงในฐานะเครื่องมือทางการเมืองในกัมพูชา. – สำนักข่าวไทย

รทสช.มอบหมาย “พีระพันธุ์” นำมติพรรคคุยนายกฯ ก่อน

รทสช. 19 มิ.ย.- “รวมไทยสร้างชาติ” ยังไม่เผยมติพรรค มอบหมาย “พีระพันธุ์” นำมติคุยนายกฯ ก่อน หลังมีการวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองเกือบ 2 ชม. นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค โดยมีนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรค พร้อมด้วยกรรมการบริหารพรรค ประกอบด้วย นายปรากรมศักดิ์ ชุณหะวัณ นายดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล นายชื่นชอบ คงอุดม นายวิสุทธิ์ ธรรมเพชร เข้าร่วมประชุม ขณะที่นายวิทยา แก้วภราดัย ติดภารกิจ ส่วนนายเกรียงยศ สุดลาภา นายทะเบียนพรรค และนายเกชา ศักดิ์สมบูรณ์ ไม่ได้รับเชิญเข้าร่วม ซึ่งทั้งนายเกรียงยศ และนายเกชา อยู่กลุ่ม 18 ของนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรองหัวหน้าพรรค จากนั้นเวลา 19.00 น. นายพีรพันธุ์ เดินทางออกจากพรรค […]

มทภ.2 ลั่นทหารยังเป็นเสาหลักไม่เปลี่ยน มุ่งป้องกันประเทศทุกวิถีทาง

นครราชสีมา 19 มิ.ย. – ท่วมท้น! กำลังใจหลั่งไหลสู่ “พล.ท.บุญสิน” และทหารชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านแม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวขอบคุณ ลั่นทหารยังเป็นเสาหลักไม่เปลี่ยนแปลง มุ่งมั่นป้องกันประเทศชาติทุกวิถีทาง ขอให้ประชาชนไว้วางใจ ช่วงบ่ายวันนี้ (19 มิ.ย.68) ที่สโมสรร่วมเริงไชย กองทัพภาคที่ 2 จ.นครราชสีมา สถานศึกษาและบริษัทเอกชน นำสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นมามอบให้กับ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ และส่งต่อธารน้ำใจไปยังทหารที่ประจำอยู่แนวชายแดนไทย-กัมพูชา นอกจากนี้ นักเรียนจากโรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย และโรงเรียนสุรธรรมพิทักษ์ ยังนำข้อความจากใจของนักเรียนที่เขียนให้กำลังใจแม่ทัพภาคที่ 2 มามอบให้ด้วย ด้านแม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวขอบคุณ และบอกว่าจะรีบนำสิ่งของไปมอบให้โดยเร็ว พร้อมยืนยันว่า กองทัพภาคที่ 2 ยังทำหน้าที่เหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ฝ่ายบริหารก็แก้ปัญหาทางการเมือง ส่วนความมั่นคงของชาติ ทั้ง 3 เหล่าทัพ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มุ่งมั่นป้องกันประเทศชาติทุกวิถีทางที่จะไม่ให้เสียดินแดน ขอให้พี่น้องประชาชนไว้วางใจ สิ่งที่ตนพูดไปแล้วก็ตามนั้น. – สำนักข่าวไทย