ทำเนียบรัฐบาล 28 พ.ค.-ที่ประชุม ศบค.หารือกรณีคนกลับจากต่างประเทศป่วยแล้วไม่มีอาการ เตรียมตรวจกลุ่มเสี่ยงเพิ่ม พบป่วยใหม่ 11 ราย ไม่เสียชีวิต ส่วนผ่อนคลายระยะ 3 รอประชุมใหญ่ ศบค.สรุปพรุ่งนี้ คาดปรับลดเวลาเคอร์ฟิวลงอีก
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงสถานการณ์โควิด-19 ว่า วันนี้ (28 พ.ค.) มีรายงานผู้ป่วยใหม่ 11 ราย รวมผู้ป่วยสะสมเพิ่มขึ้นเป็น 3,065 ราย รักษาหาย 2,945 ราย กำลังรักษาอยู่ 63 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 57 ราย โดยผู้ป่วยใหม่ 11 รายทั้งหมดเป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศแล้วเข้าสถานกักกันตัวที่รัฐจัดให้ รายแรกเป็นหญิงไทย อายุ 32 ปี เป็นนักท่องเที่ยวเดินทางมาจากประเทศอินเดียเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมและเข้าพักโรงแรมในจังหวัดสมุทรปราการ วันที่ 25 พฤษภาคม ตรวจพบเชื้อโควิด-19 โดยไม่มีอาการป่วย
โฆษกศบค. กล่าวว่า 6 รายเดินทางมาจากประเทศกาตาร์ เป็นชาย 5 ราย อาชีพพนักงานนวด และหญิง 1 ราย เป็นแม่บ้าน เดินทางมาถึงวันที่ 22 พฤษภาคม เข้าพักโรงแรมในกรุงเทพมหานคร วันที่ 26 พฤษภาคมตรวจพบเชื้อ ผู้ป่วยมีอาการเจ็บคอ มีเสมหะ จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นรับรสไม่ได้ ขณะที่บางคนไม่มีอาการป่วย ส่วนอีก 4 ราย มาจากประเทศคูเวต อาชีพทำงานที่แคมป์ของบริษัทต่างชาติ เดินทางถึงวันที่ 24 พฤษภาคม เข้าพักในโรงแรมที่กรุงเทพมหานคร และตรวจพบเชื้อวันที่ 26 พฤษภาคม
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า อาชีพพนักงานนวดของผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศแล้วติดเชื้อ ถือเป็นคนละเรื่องกับการให้บริการนวดในประเทศไทย ซึ่งการนวดในไทยมีทั้งการนวดรักษาและนวดผ่อนคลาย ซึ่งการนวดรักษามีมาตรฐานค่อนข้างสูง ส่วนการนวดผ่อนคลาย ออกมาตรการต่าง ๆ ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข จึงไม่อยากให้ประชาชนมีความกังวลมากเกินไป
“สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ในไทยที่อายุน้อยที่สุดคือ 1 เดือน สูงที่สุดคือ 97 ปี มีอายุเฉลี่ย 39 ปี เป็นผู้ป่วยในสถานกักกันโรครวม 128 ราย เป็นชายมากกว่าหญิง สัญชาติไทย ร้อยละ 98.44 สหรัฐอเมริกา ร้อยละ 0.78 และอังกฤษร้อยละ 0.78 ทั้งนี้ จากจำนวนผู้ป่วยสะสมทั้งหมด 3,065 ราย แบ่งเป็นมีประวัติติดเชื้อจากต่างประเทศ 621 ราย คิดเป็นร้อยละ 20.26 ติดเชื้อภายในประเทศ 2,444 ราย คิดเป็นร้อยละ 79.74” โฆษกศบค. กล่าว
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ที่ประชุมศบค.หารือกรณีผู้ป่วยที่เดินทางมาจากต่างประเทศบางรายไม่มีอาการ ซึ่งการที่จะทำให้มั่นใจว่าไม่มีผู้ติดเชื้อในประเทศ จะต้องมีการตรวจเพิ่มเติม และค้นหาในประชาชนกลุ่มเสี่ยง ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ ผู้ต้องขังแรกรับ กลุ่มอาชีพที่พบปะผู้คนจำนวนมาก และอื่น ๆ ตามที่คณะกรรมการตรวจสอบโรคจะพิจารณา เช่น เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง คนในโรงงาน เจ้าหน้าที่เรือนจำและศูนย์พักพิง
โฆษกศบค. กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์โลก พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รวม 5,789,843 ราย เสียชีวิต 357,432 ราย สหรัฐอเมริกาพบติดเชื้อมากที่สุด 1,745,803 ราย ขณะที่ไทยอยู่ที่อันดับที่ 77 ของโลก โดยประเด็นที่น่าสนใจในต่างประเทศ เกาหลีใต้มียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มจำนวน 79 ราย ซึ่งเป็นยอดที่สูงที่สุดของประเทศในรอบ 53 วัน โดยเกิดขึ้นจากศูนย์กระจายสินค้าของบริษัทอีคอมเมิร์ซคูปัง ทางตะวันตกของกรุงโซล ทำให้ทางการต้องเลื่อนการเปิดโรงเรียนเกือบ 600 แห่งทั่วประเทศออกไปอีกครั้ง ซึ่งสาเหตุพบว่าศูนย์กระจายสินค้าแห่งนี้ไม่ได้ทำตามมาตรการป้องกันโรค
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวถึงการใช้งานแพลตฟอร์มไทยชนะ ผ่าน www.ไทยชนะ.com ว่า การใช้งานวานนี้ (27 พ.ค.) เวลา 21.00 น. พบว่ามีร้านค้าลงทะเบียน 120,953 ร้าน มีผู้ใช้งาน 14,719,447 คน มีผู้เช็กอิน 38,851,693 คนและเช็กเอาท์ 25,830,131 คน และประเมินร้านค้า 14,980,678 คน
ส่วนที่มีการสอบถามถึงเหตุผลที่อาจจะผ่อนปรนในระยะที่ 3 ให้แก่กิจการและกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูงมาก โฆษก ศบค. กล่าวว่า ข้อมูลขณะนี้เป็นเพียงข่าว แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปชัดเจนจนกว่าจะประชุม ศบค. ชุดใหญ่ในวันพรุ่งนี้(29 พ.ค.) ซึ่งต้องดูด้วยว่า ผู้ประกอบการกิจการและกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูงมีความตื่นตัวในการวางแนวทางป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดหรือไม่ ขณะที่กิจการและกิจกรรมต่าง ๆที่ผ่อนคลายไปก่อนหน้านี้ เช่น ห้างสรรพสินค้าที่เปิดให้บริการ สามารถดูแลควบคุมได้ดี จะพิจารณาให้เปิดร้านค้าที่อยู่ภายในได้มากขึ้น
“ส่วนกีฬาที่ผ่อนคลายบางประเภท อาจจะเปิดได้เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะการซ้อม ของนักกีฬาที่เป็นตัวแทนระดับต่าง ๆ ส่วนการประกาศเคอร์ฟิว มีแนวโน้มจะปรับลดเวลาลงอย่างแน่นอน ให้รอความชัดเจนอีกครั้ง ทั้งนี้ เมื่อเปิดกิจการและกิจกรรมระยะที่ 3 แล้ว ผู้ประกอบการ ประชาชนจะต้องลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่นไทยชนะ เพื่อให้มีความสะดวกรวดเร็วในการเช็คอินและเช็คเอาท์ เพราะกิจการและกิจกรรมที่จะได้รับการผ่อนคลายระยะที่ 3 มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง เพื่อจะติดตามดูแลสุขภาพของประชาชนได้” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว.-สำนักข่าวไทย