กรุงเทพฯ 5 พ.ค. –ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจับอดีตเจ้าหน้าที่ทำงานในสถานทูต ปลอมเอกสารขอต่อวีซ่า พบอาศัยอยู่ในไทยมานานกว่า 5 ปี และยังมีการปลอมข้อมูลทำบัตรเครดิต นำเงินไปลงทุนซื้อขายหุ้น เงินหมุนเวียนกว่าล้านบาท
ผู้ต้องหาคือ นายฮั่น สัญชาติสิงค์โปร์ ถูกฝ่ายสืบสวนตำรวจตรวจคนเข้าเมือง นำหมายศาลไปจับกุมตัวได้ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย ก่อนจะพาตัวไปตรวจค้นบ้านพักในจังหวัดเชียงใหม่ พบของกลางหลายรายการ เช่น หนังสือรับรองการขออยู่ต่อในราชอาณาจักร หรือวีซ่า ปลอม , หนังสือรับรองการทำงานปลอม , หนังสือรับรองเงินเดือนปลอม , ใบปริญญาบัตรปลอมของมหาวิทยาลัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ , คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค, ฮาร์ดดิสก์แบบพกพา และเครื่องปริ้นเตอร์
โดยการจับกุมดังกล่าวสืบเนื่องจากตำรวจตรวจคนเข้าเมือง พบการยื่นเอกสารประกอบการขอวีซ่า อ้างเหตุผลว่า เพื่อใช้ในการปฏิบัติงานในสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสิงคโปร์ประจำประเทศไทย แต่เมื่อนำเอกสารดังกล่าวไปตรวจสอบยืนยันกลับพบพิรุธหลายอย่าง จึงตรวจสอบซ้ำไปยังหน่วยงานที่ออกหนังสือรับรอง และพบว่าเป็นเอกสารปลอม จึงทำการเพิกถอนใบอนุญาตและดำเนินการสืบสวนจับกุม
พลตำรวจโทสมพงษ์ ชิงดวง ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ระบุว่า ผู้ต้องหาเป็นอดีตเจ้าหน้าที่ที่เคยทำงานในสถานฑูต เดินทางเข้าไทยมาตั้งแต่ในปี 2558 กระทั่งทำงานครบ 1 ปี ได้ทำเอกสารปลอมเพื่อขอขยายระยะเวลาการอยู่ต่อ และใช้เอกสารปลอมในการขอบัตรเครดิต เพื่อนำเงินไปลงทุนซื้อขายหุ้น ซึ่งจากการตรวจสอบพบผู้ต้องหามีหนี้บัตรเครดิตประมาณ 7 แสนบาท และมีเงินลงทุนในตลาดหุ้นกว่า 1 ล้านบาท ส่วนเอกสารที่ตรวจพบภายในบ้าน คาดว่าอาจเคยรับทำเอกสารปลอมให้กับบุคคลอื่น ซึ่งอยู่ระหว่างการขยายผลตรวจสอบ ทั้งนี้ยอมรับว่าเอกสารปลอมมีความใกล้เคียงกับเอกสารจริง แต่มีพิรุธตรงที่เลขปีที่ปรากฎ และผู้รับรองในเอกสาร ซึ่งปัจจุบันไม่ได้ทำหน้าที่ในตำแหน่งดังกล่าว ประกอบกับเป็นการขอขยายระยะเวลาในการอาศัยอยู่ในไทยเพียง 90 วัน ทั้งที่หากเป็นเอกสารจากสถานฑูต จะประสานผ่านกระทรวงการต่างประเทศ และเป็นการขออนุญาตอยู่ต่อครั้งละ 1 ปี
อย่างไรก็ตาม ตำรวจอยู่ระหว่างการขยายผลไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้ต้องหา และประวัติอาชญากรรมว่าได้เปิดบัญชีเพื่อนำไปกระทำความผิดในคดีใดอีกหรือไม่ ส่วนผู้ต้องหาได้ส่งให้พนักงานสอบสวน สน.ทุ่งสองห้อง ดำเนินคดีฐานปลอมและใช้เอกสารปลอม และให้ตำรวจ ตม. 3 ดำเนินคดีความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ ต่อไป .-สำนักข่าวไทย