กรุงเทพฯ, บุรีรัมย์ 19 เม.ย.- มูลนิธิกู้ภัยร่มไทร เปิดไทม์ไลน์ขั้นตอนการเข้าช่วยเหลือและเก็บศพชายเป็นลมจนเสียชีวิต ยืนยันทำตามขั้นตอนการเคลื่อนย้ายศพอย่างถูกต้อง ด้านพ่อแม่ผู้ตาย ติดใจไม่ว่าจะตายด้วยสาเหตุอะไร ก็ไม่ควรทิ้งศพ
มูลนิธิกู้ภัยร่มไทร ยืนยันไม่ได้ทิ้งศพชายเป็นลมจนเสียชีวิต
นายวรวุฒิ เฟ็นดี้ รองหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการกู้ภัย มูลนิธิกู้ภัยร่มไทร นำภาพวงจรปิด 2 มุม ความยาว 28 นาที ขณะเข้าช่วยเหลือผู้ป่วย มาประกอบการชี้แจงข้อเท็จจริง หลังมีการเสนอข่าวอ้างว่า เจ้าหน้าที่อาสาสมัครของมูลนิธิทิ้งร่างผู้เสียชีวิตไว้หน้าบ้านใกล้กับตลาดแห่งหนึ่งบนถนนสุเหร่าคลองหนึ่ง เขตคลองสามวา โดยผู้เสียชีวิต คือ นายสุรเดช วงศ์สวรรค์ คนงานก่อสร้าง ซึ่งก่อนหน้านี้มีผู้เห็นว่า นายสุรเดช เดินมาแล้วล้มลงหมดสติ ศีรษะฟาดพื้น มีเลือดไหล จึงประสานอาสาสมัครมูลนิธิเข้าช่วยเหลือนำตัวนายสุรเดช ขึ้นรถมูลนิธิเพื่อส่งโรงพยาบาล แต่คนเจ็บมีสัญญาณชีพอ่อน จึงประสานเจ้าหน้าที่กู้ชีพโรงพยาบาลนพรัตน์ราชธานีเข้ามาช่วยเหลือ และเคลื่อนย้ายส่งโรงพยาบาล แต่พบว่าสัญญาณชีพลดลง จึงจำเป็นต้องนำผู้ป่วยลงจากรถเพื่อปั๊มหัวใจ ซึ่งใช้เวลานานกว่า 30 นาที จนผู้ป่วยหมดสัญญาณชีพ จึงประสานตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิต ซึ่งตามข้อตกลงร่วมกัน ในช่วงที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 มูลนิธิกู้ภัยร่มไทรไม่ได้รับอนุญาตให้เคลื่อนย้ายผู้เสียชีวิตได้ เพราะเป็นขอบเขตอำนาจของ 2 มูลนิธิที่ได้รับอนุญาต คือ ร่วมกตัญญู หรือป่อเต็กตึ๊ง
หลังประสานการรับศพเรียบร้อย จึงถอนตัวกลับ แต่ในระหว่างที่รอการรับศพ ยังมีเจ้าหน้าที่กู้ภัยเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ห่างออกไป 30-40 เมตร และฝั่งตรงข้ามก็มีรถตำรวจ สน.คันนายาว เจ้าของคดีอยู่ สำหรับการเคลื่อนย้ายร่างผู้เสียชีวิตรายนี้ เจ้าหน้าที่ใช้เวลาดำเนินการ 1 ชั่วโมงเศษ ซึ่งมาจากช่วงสถานการณ์ที่ไม่ปกติ และต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ
ขณะที่นายวิชาญ มีนชัยนันต์ ประธานมูลนิธิกู้ภัยร่มไทร ซึ่งได้นำทีมแพทย์โรงพยาบาลนพรัตน์ราชธานี และตำรวจ สน.คันนายาว ยืนยันว่าปัญหาเกิดจากความไม่เข้าใจกระบวนการทำงาน ที่มีการปรับเปลี่ยนแผนเพื่อรักษาความปลอดภัยให้ผู้ปฏิบัติงาน จึงต้องเกิดการส่งต่อผู้เสียชีวิตและมูลนิธิป่อเต๊กตึ๊ง ที่จะมารับศพเอง ก็ต้องรอการยืนยันที่ชัดเจนว่าผู้ป่วยรายนี้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงโรคโควิด-19 หรือไม่ ทำให้ต้องมีการเตรียมพร้อม ทั้งชุดป้องกันของเจ้าหน้าที่และอุปกรณ์ ประกอบกับระยะทางจากมูลนิธิป่อเต๊กตึ๊งถึงที่เกิดเหตุประมาณ 26 กิโลเมตร ทำให้ใช้เวลาเดินทางนาน 45 นาที จึงทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ หลังเกิดมีกระแสข่าวดังกล่าว มีผู้โทรศัพท์เข้ามาต่อว่าทางมูลนิธิตลอดทั้งวัน จนไม่สามารถให้ความช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนได้ตามปกติ ยืนยันว่าการทำงานของมูลนิธิเป็นไปตามกฎหมาย ไม่ได้ทอดทิ้งร่างผู้เสียชีวิต
ขณะที่ ร.ต.ท.ปฏิภาณ ไกรลาศฉิมพลี รองสารวัตรสอบสวน สน.คันนายาว ระบุว่า กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องที่เกิดจากความไม่เข้าใจในการทำงานในสถานการณ์ปัจจุบันเท่านั้น ส่วนผู้เสียชีวิตรายนี้ ขณะนี้ยังรอผลชันสูตรสาเหตุการเสียชีวิต แต่จากการสอบปากคำญาติและผู้พักอาศัยในละแวก ไม่พบผู้ใดมีประวัติการเดินทาง หรือมีอาการป่วยต้องสงสัยแต่อย่างใด ส่วนผู้เสียชีวิตพบว่ามีอาการป่วย และมีประวัติรักษาตัวอยู่ก่อนหน้านี้มานานหลายเดือนแล้ว
ครอบครัวชายเป็นลมเสียชีวิต ยังติดใจสาเหตุกู้ภัยทิ้งศพ
ส่วนที่บ้านเกิดของนายสุรเดช ผู้เสียชีวิต ใน ต.โคกขมิ้น อ.พลับพลาชัย จ.บุรีรัมย์ มีญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านที่ทราบข่าว เดินทางมาให้กำลังใจนายเดือย และนางสมาน วงษ์สุวรรณ พ่อและแม่ของนายสุรเดช อย่างต่อเนื่อง และต่างสงสัยในการกระทำของเจ้าหน้าที่กู้ภัย ว่าเพราะเหตุใดถึงทิ้งศพไว้ข้างทาง
ครอบครัวของผู้เสียชีวิตเล่าว่า ลูกชายไปทำงานก่อสร้างที่กรุงเทพฯ เกือบ 7 เดือนแล้ว ไม่ค่อยได้ติดต่อกัน นานๆ ที หรือช่วงเทศกาลถึงจะกลับมาเยี่ยมบ้าน ทั้งนี้ ไม่ทราบมาก่อนว่าลูกชายเสียชีวิต มารู้ตอนที่เพื่อนบ้านมาบอกว่ามีกู้ภัยฯ นำศพลูกชายมาทิ้งไว้ทั้งตกใจและเสียใจมาก ทำไมเจ้าหน้าที่กู้ภัยถึงทำแบบนี้
ส่วนข้อกังวลว่าลูกชายติดเชื้อโควิดหรือไม่นั้น ก็ควรส่งให้แพทย์ตรวจให้ชัดเจนก่อน ขอให้ตำรวจช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้โดยด่วน ทั้งพ่อและแม่อยากไปรับศพลูกด้วยตัวเอง แต่ด้วยสถานการณ์แบบนี้ จึงให้พี่สาวที่อยู่กรุงเทพฯ ช่วยจัดการเรื่องงานศพให้ เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย เมื่อสถานการณ์โควิดคลี่คลาย ทางครอบครัวจะไปนำกระดูกกลับมาทำบุญที่บ้านอีกครั้ง.-สำนักข่าวไทย