กรุงเทพฯ 13 เม.ย..-ผลกระทบโควิด-19 สถาบันวิจัย กสศ. ห่วงเด็กยากจนด้อยโอกาสความรู้ถดถอย หลังปิดเทอมใหญ่นานขึ้น ข้อมูล OECD ระบุ หลายประเทศเผชิญปัญหาความเหลื่อมล้ำของการเข้าถึงดิจิตัล ชี้ฟรีทีวีและมือถือเป็นตัวเลือกการศึกษาออนไลน์เพราะต้นทุนต่ำและยุ่งยากน้อย
ดร.ภูมิศรัณย์ ทองเลี่ยมนาค ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์การศึกษา สถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กสศ. รายงานว่า สถานการณ์แพร่ระบาด COVID-19 ทำให้นักเรียนจำนวนกว่า 1.57 พันล้านคน จากกว่า 188 ประเทศ หรือคิดเป็น 91.3% ของผู้เรียนทั่วโลกต้องออกนอกโรงเรียนและหันไปสู่การศึกษาในรูปแบบนอกห้องเรียนแบบต่างๆ ลักษณะเช่นนี้ ส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ของเด็ก ซึ่งการที่ต้องอยู่บ้านนานๆ ยิ่งทำให้เกิดการลืมเลือนสิ่งที่เคยเรียนมา ทำให้ต้องมาทบทวนกันใหม่ซ้ำอีกครั้ง เรียกว่าปรากฎการณ์ความรู้ถดถอยไปหลังจากปิดเทอมใหญ่
“จากงานวิจัยพบว่าการที่เด็กต้องออกจากโรงเรียนประมาณ 6 สัปดาห์ อาจจะทำให้ความรู้ของเขาหายไปถึงครึ่งปีการศึกษา โดยเฉพาะนักเรียนกลุ่มด้อยโอกาส หรือนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ด้านต่างๆ เด็กที่ต้องพึ่งพิงอาหารเช้า อาหารกลางวันจากโรงเรียน ผู้ที่ต้องการการดูแลจากครูอย่างใกล้ชิด เด็กกลุ่มยากจนและเปราะบาง ไม่มีคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต บ้านมีปัญหา เช่น ยาเสพติด ความรุนแรงในครอบครัว ถือว่าได้รับผลกระทบนี้ที่มีความรุนแรงและน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง” ดร.ภูมิศรัณย์ กล่าว
ในสถานการณ์ปัจจุบัน หลายแห่งในโลกหันไปใช้ระบบการเรียนการสอนผ่านระบบออนไลน์ เพื่อแก้ปัญหาการปิดโรงเรียนชั่วคราว แต่สิ่งที่ต้องคำนึงคือระบบการศึกษาและระดับสาธารณูปโภคพื้นฐานแต่ละประเทศแตกต่างกัน ประเทศที่ต้องปิดโรงเรียนกลุ่มแรกๆ เช่น จีน ฮ่องกง เกาหลีใต้ อิตาลี หรือสหรัฐอเมริกาพบว่าแม้จะความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแล้วก็ยังมีความเหลื่อมล้ำของการเข้าถึงการเรียนการสอนแบบออนไลน์ระหว่างนักเรียนหรือโรงเรียนที่อยู่ในกลุ่มยากจนด้อยโอกาสกับโรงเรียนที่มีความพร้อมอยู่ไม่น้อย
ขณะที่องค์กร OECD ร่วมกับ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้จัดทำกรอบแนวทางสำหรับภาคการศึกษาในการตอบสนองต่อวิกฤติการณ์ COVID-19 โดยการใช้ข้อมูลการสำรวจของ OECD สำหรับนักเรียนอายุ 15 ปี จำนวนกว่า 600,000 คน จาก 79 ประเทศทั่วโลกในปี 2018 ซึ่งมีประเทศไทยรวมอยู่ในการสำรวจนี้ด้วย พบว่ามีความเหลื่อมล้ำของการเข้าถึงสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการเรียนรู้ในระบบออนไลน์ เช่น สถานที่ในบ้านไม่เอื้ออำนวย การขาดอุปกรณ์เครื่องมือในการเรียน โดยพบว่ามีเด็กไทยที่เข้าถึงเครื่องคอมพิวเตอร์และ แท็ปเล็ต 57.8% และ 43.4% ตามลำดับ ซึ่งหากเปรียบเทียบกับหลายๆ ประเทศจะมีการเข้าถึงอุปกรณ์เหล่านี้มากกว่า เช่น อเมริกามีการเข้าถึงคอมพิวเตอร์และแท็ปเล็ต 88.6% และ 79.2% สิงคโปร์ 89.3% และ 76.7% ตามลำดับ ซึ่งประเทศเหล่านี้แม้จะต้องอยู่ในสถานการณ์ของการปิดโรงเรียนแต่นักเรียนก็มีโอกาสในการเข้าถึงการเรียนแบบออนไลน์ได้ในสัดส่วนที่สูงอยู่มาก
ดร.ภูมิศรัณย์ กล่าวต่อว่า อีกปัจจัยหนึ่งคือการเข้าถึงสัญญาณอินเตอร์เนต จากการสำรวจพบว่านักเรียนอายุ 15 ปี ที่บ้านมีการเข้าถึงสัญญานอินเตอร์เนต มีประมาณ 81.6 % ซึ่งเป็นตัวเลขที่ดีพอสมควร แต่หากแบ่งตามระดับเศรษฐฐานะของนักเรียน พบว่า นักเรียนในกลุ่มเศรษฐฐานะล่างสุดเพียง 57% ที่บ้านมีการเชื่อมต่อสัญญาณอินเตอร์เนต อาจเป็นเพราะไม่มีเงินสำหรับสมัครสมาชิกหรืออยู่ในบริเวณสัญญาณเข้าไม่ถึง ซึ่งก็มีหลายประเทศแก้โดยใช้การจัดสรรอุปกรณ์ Wifi แบบพกพา ให้กับนักเรียนที่บ้านไม่มีสัญญาณอินเตอร์เนท หรือจัดสรรงบประมาณเพื่อให้ครัวเรือนยากจนมีเงินในการสมัครบริการอินเตอร์เนท เป็นต้น
ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์การศึกษา กสศ. กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม พบว่านักเรียนส่วนใหญ่ในทุกระดับเศรษฐฐานะจะสามารถเข้าถึงโทรทัศน์ หรือสมาร์ทโฟนได้ไม่ยาก เช่น นักเรียนไทยมีการเข้าถึงสมาร์ทโฟนค่อนข้างมาก คือ ประมาณ 86.1% แม้แต่เด็กในกลุ่มที่ยากจนที่สุดถึงเกือบ 80% ยังมีการเข้าถึงโทรศัพท์มือถือได้ ซึ่งนับว่าอาจจะเป็นอุปกรณ์ที่เด็กไทยสามารถเข้าถึงได้ง่ายในกรณีที่มีการเรียนการสอนแบบออนไลน์ ดังนั้นหากมีการประยุกต์แนวทางการเรียนการสอน หรือเนื้อหาให้ถ่ายทอดผ่านทางโทรศัพท์มือถือ ก็อาจจะเป็นแนวทางหนึ่งที่ทำให้เด็กสามารถเข้าถึงการเรียนการสอนในแบบทางไกลได้ ภาครัฐหรือโรงเรียนหรือผู้พัฒนาระบบดิจิตัลแพลตฟอร์มในไทยน่าจะพัฒนาระบบการเรียนรู้ผ่านทางมือถือ และขยายผลการใช้ให้มากขึ้นเพื่อการเข้าถึงการเรียนแบบออนไลน์ สิ่งที่สำคัญคือ การเลือกให้เหมาะสมกับบริบทและความพร้อมของผู้เรียนและผู้สอน ข้อสำคัญ ควรช่วยกันคิดต่อ สำหรับนักเรียนกลุ่มการศึกษาพิเศษ ผู้พิการ ผู้บกพร่องในการเรียนรู้ กลุ่มเด็กเล็กที่พ่อแม่หรือผู้ปกครอง ไม่สามารถเลี้ยงได้เพราะต้องออกไปทำงานหาเงิน นักเรียนที่มีในสภาพแวดล้อมเลวร้าย มีความรุนแรงในครอบครัว ทางโรงเรียน หรือภาครัฐ ควรจะทำอย่างไร เนื่องจากเด็กในกลุ่มเหล่านี้คงต้องการการสนับสนุนแบบพิเศษและมิอาจรอคอยสภาวะวิกฤติเช่นนี้ได้นาน” ดร.ภูมิศรัณย์ กล่าว.- สำนักข่าวไทย