สธ. 2 เม.ย.- สธ.แจงชายไทยเสียชีวิตบนรถไฟแบบเฉียบพลัน แม้ติดเชื้อโควิด-19 ก็จริง แต่สาเหตุการเสียชีวิตปุบปับมาจากหัวใจวายเฉียบพลัน ประวัติมาจากปากีสถานจริงแต่เข้าไทยไม่มีไข้ พร้อมชี้การป่วยโควิด-19จนเสียชีวิตไวรัสจะโจมตีที่ปอด จนอักเสบรุนแรงเหนื่อยหอบไม่สามารถออกไปไหนได้ พร้อมห่วงวัยรุ่นยังไม่ตระหนักลดพฤติกรรมเสี่ยง เพราะ กลุ่มนี้ป่วยไม่แสดงอาการรุนแรง แต่จะนำให้คนแก่เสี่ยงติดโรคง่าย
นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า วันนี้ (2เม.ย.) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เผยว่าพบผู้ป่วยรวม 1,875 คน โดยเป็นผู้ป่วยรายใหม่ 104 คน ในจำนวนนี้ 41 คนเป็นผู้ที่สัมผัสผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ ถือว่าเป็นผู้ที่ถูกติดตามตั้งแต่แรก ขณะเดียวจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อที่สนามมวยสามารถควบคุมได้หมดแล้ว พบผู้ป่วยเพิ่ม 1คนหลังจากมีการติดตามสถานการณ์มวยนี้มา กว่า 3 สัปดาห์
นพ.โสภณ กล่าวต่อไปว่า ส่วนที่รัฐบาลเตรียมออกมาตรการ ชะลอการเข้าประเทศถึงวันที่ 15 เม.ย.นั้น ในส่วนของผู้ที่เดินทางกลับไทย ยังคงทำได้ แต่ต้องมีการแจ้งสถานทูต จากนั้นเข้าสู่กระบวนการกักตัวเฝ้าระวังตนเอง 14 วันก่อนการเดินทาง และต้องแสดงใบรับรองแพทย์ กรณีการพบชายไทยที่เสียชีวิตบนรถไฟ จากการรายงานกลับมาจากปากีสถาน พบว่า ตรวจวัดไข้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ไม่พบไข้ วัดอุณหภูมิ ร่างกาย 35 องศาเซลเซียส แม้ว่าผลตรวจพบติดเชื้อโควิด-19ในร่างกายหลังเสียชีวิต แต่เชื่อว่าไม่ได้เสียชีวิตแบบเฉียบพลันจากเชื้อโควิดแน่นอน พร้อมห่วงวัยรุ่นยังแห่เที่ยวสถานบันเทิง ว่าอาจเป็นสาเหตุการติดเชื้อ เพราะจากข้อมูล กลุ่มอายุ 20-29 ปี และ 30-39 ปี ป่วยแต่ไม่แสดงอาการ อาจนำเชื้อไปแพร่สู่ผู้สูงอายุ ซึ่งมาตรการที่ออกมาเชื่อว่าจะสามารถเข้าไปแก้ไขปัญหาในส่วนนี้ได้ ลดอัตราการป่วยในวัยรุ่นที่ไม่ตระหนัก
นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ที่ปรึกษากรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การระบาดของโรคโควิด-19 วันนี้แบ่งเป็น 2กลุ่ม คือยุโรป อเมริกา อิตาลี ที่มีผู้ป่วยพุ่งไปหลักหมื่นและเสียชีวิตจำนวนมาก ส่วนอีกกลุ่มคือกลุ่มประเทศเอเชีย รวมถึงไทยที่มีจำนวนผู้ป่วยหลักพันคน ความแตกต่างกันพอสมควร ตั้งแต่เตื่องการค้นหา การสวมหน้ากากอนามัย ของเอเชีย และไทยสวมหน้ากากอนามัย หน้ากากผ้าค่อนข้างสูง อีกทั้งยังมีการจัดจุดบริการเจลล้างมืออย่างทั่วถึง นี่เป็น 2 จุดสำคัญที่ทำให้ไทยเจอผู้ป่วยเรื่อย ๆ แต่ไม่สาหัสเหมือนประเทศอื่นๆ เพราะประเทศไทยเน้นมาตรการการสวมหน้ากากอนามัยและหมั่นล้างมือ และขณะนี้ควรเพิ่มหลักการปฎิบัติตนอีกข้อ เมื่อเดินทางกลับเข้าไป กรณีไปพบคนจำนวนมาก นอกจากล้างมือเมื่อถึงบ้านแล้ว ควรมีการอาบน้ำสระผม และเปลี่ยนชุดใหม่ทันที
นพ.ทวี กล่าวว่า สำหรับกรณีชายเเสียชีวิตบนรถไฟนั้น จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่ามีประวัติป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ต้องมีการฉีดอินซูลินการป่วยเพิ่มเริ่มมามีภายหลังจากการกลับเข้าประเทศไทย โดยการเดินทางกลับ สุไหงโกลกนั้น ยังสามารถซื้อตั๋วรถไฟกลับเองได้ แสดงว่าไม่มีอาการหอบเหนื่อย เพราะโควิดโรคนี้ไวรัสจะโจมตีที่ปอดทำให้เกิดอาการอักเสบรุนแรง จนไม่สามารถเดินทางได้ แต่กลับมีอาการไอและอาเจียน และเสียชีวิตเฉียบพลัน ตรวจสอบพบว่า มีอาการคุมโรคเบาหวานได้ไม่ดี ทำให้เกิดหัวใจวายเฉียบพลัน
นพ.ทวี กล่าวต่อว่า กรณีบุคคลากรทางการแพทย์บางส่วนใช้ชุดกันฝนแทนชุด PPE ในการป้องกันการติดเชื้อว่า จริงๆแล้วสมัยไข้หวัดนก ประเทศไทยไม่มีชุด PPE การป้องกันในขณะนี้เป็นการประยุกต์ใช้ชุด กันฝนมาป้องกันแทนก็สามารถทำได้ เพียงแต่ต้องรัมกุมให้ดี เนื่องจากชุดกันฝนมีลักษณะคล้ายกับ PPE คือกันน้ำและละอองฝอย แต่สิ่งสำคัญของการป้องกันโรคในบุคลากรทางการแพทย์ ไม่ใช่ชุด PPE อย่างที่ใครเข้าใจ แต่กลับเป็นหน้ากากN95 และหน้ากากแบบกระจังหน้า (face shield) ซึ่งการขาดแคลนหน้ากาก หรืออุปกรณ์ป้องกันนี้ไม่ได้เป็นแค่เพราะไทย แต่เป็นกันทั่วโลก ขณะนี้กำลังหาแนวทางการนำหน้ากากอนามัย แบบN95 กลับมาใช้ ใหม่ โดยจะได้ช้อสรุปเรื่องนี้ในสัปดาห์หน้า .-สำนักข่าวไทย