กรุงเทพฯ 1 เม.ย. – บล.เอเซียพลัสปรับลดคาดการณ์จีดีพีปี 63 ติดลบ 1.4% หวังมาตรการอัดฉีดเม็ดเงิน ดึงไม่ให้เศรษฐกิจไทยตกหลุมลึกมาก ขณะที่ทิศทางตลาดหุ้นไทยไตรมาส 2 ยังผันผวนสูง SET Index มีโอกาสปรับลงต่ำกว่า 1,000 จุด จากปัจจัยกดดันการแพร่ระบาดของโควิด-19 มองเป็นจังหวะเข้าซื้อหุ้นเพื่อลงทุนระยะยาว
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการและหัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส กล่าวว่า จากการประมาณการณ์ตัวเลขจีดีพีของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่คาดว่าปีนี้จะติดลบ 5.3% คิดเป็นเม็ดเงินที่หายไปจากระบบประมาณ 570,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเศรษฐกิจไทยตกหลุมลึกมาก โดยวิธีการที่จะทำให้ตกหลุมไม่ลึกมาก คือ การอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ โดยเชื่อว่ารัฐบาลจะมีมาตรการทยอยออกมาอีก ทั้งการดึงงบส่วนกลางจากหน่วยงานมาใช้ประมาณ 200,000 ล้านบาท และงบจากการกู้เงินฉุกเฉิน ซึ่งจากมาตรการอัดฉีดเม็ดเงินของภาครัฐที่จะทยอยออกมาต่อเนื่อง เอเซียพลัสจึงปรับประมาณการณ์ตัวเลขจีดีพีปีนี้ลง จากเดิมคาดว่าบวก 2.8% เป็นติดลบ 1.4% ซึ่งน้อยกว่าตัวเลขของแบงก์ชาติ
อย่างไรก็ตาม มองว่าจากสถานการณ์ขณะนี้ เชื่อว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกในช่วงที่เหลือของปีนี้ ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 0.5% ขณะที่ Fund Flow จากต่างชาตินั้น ก็ยังมีโอกาสชะลอการไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง ทั้งนี้ ยังมีความคาดหวังแรงซื้อจากกองทุน SSF เงื่อนไขพิเศษที่เปิดขายเดือนเมษายน-มิถุนายน 2563 ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้นไทยได้ในระยะสั้น
ขณะที่กำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ล่าสุดเอเซียพลัสได้ปรับลดประมาณการกำไร บจ.ปี 2563 มาที่ 780,000 ล้านบาท ลดลง 219,000 ล้านบาท หรือลดลง 16.5% จากประมาณการเดิม ส่งผลให้ประมาณการกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2563 ลดเหลือ 72.62 บาทต่อหุ้น จากเดิม 95.71 บาทต่อหุ้น หรือลดลง 17.8% yoy จากการปรับลดกำไรในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี กลุ่มธนาคารพาณิชย์ถูกกดดันจากดอกเบี้ยที่อยู่ระดับต่ำ และมีความเสี่ยงที่จะลดดอกเบี้ยได้อีกในช่วงที่เหลือของปี กลุ่ม ICT มีต้นทุนจากการประมูลคลื่น 5G เพิ่มขึ้น, กลุ่มการบินและท่องเที่ยวถูกกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 หากยืดเยื้อกว่าที่เป็นอยู่
รองกรรมการผู้อำนวยการและหัวหน้าสายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส มองทิศทางตลาดหุ้นไทยไตรมาส 2/2563 ยังผันผวนสูง และ SET Index มีโอกาสปรับลงต่ำกว่าระดับ 1,000 จุด จากปัจจัยกดดันหลักการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่หากวิเคราะห์ Valuation ของตลาดหุ้นไทยปัจจุบัน โดยดูจาก Market Earning Yield Gap ปัจจุบันที่ 5.90% ถือว่ากว้างมาก สะท้อนว่าตลาดหุ้นไทยมี Downside ที่จำกัด และมีโอกาสฟื้นตัวได้เร็ว หากสถานการณ์ต่าง ๆ คลี่คลาย
พร้อมแนะกลยุทธ์การลงทุนไตรมาส 2 เป็นจังหวะสะสมหุ้นที่ปรับฐานลงมาแรง จากผลกระทบโควิด-19 พร้อมกับมีโอกาสฟื้นตัวได้แรงกว่าตลาด หรือมีค่า Beta Plus สูง ได้แก่ GULF, BGRIM, BAM, SEAFCO, TFG รวมถึงหุ้นที่มีเกราะป้องกัน โควิด-19 เช่น INTUCH ส่วนหุ้นที่แนะนำให้หลีกเลี่ยง คือ หุ้นที่ Over Value เช่น THAI และ TASCO .- สำนักข่าวไทย