กรุงเทพฯ 18 เม.ย. – ธ.สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ปรับลดจีดีพีปี 2568 เหลือ 2.4% คาดการณ์เงินเฟ้อลดเหลือ 0.8% หลุดกรอบ ธปท. คาด กนง.ลดดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุม 30 เม.ย.นี้
ดร.ทิม ลีฬหะพันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายเศรษฐศาสตร์ ประจำประเทศไทยและเวียดนาม ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) กล่าวว่า ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับธนาคารกลางทุกแห่ง เราได้ปรับลดประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ลงมาอยู่ที่ร้อยละ 2.4% จากเดิมที่คาดไว้ที่ร้อยละ 2.8 เนื่องจากปัจจัยเรื่องความไม่แน่นอนของการค้าโลกที่เพิ่มขึ้น และผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคการบริโภค การท่องเที่ยว และตลาดอสังหาริมทรัพย์
ทั้งนี้ มีมุมมองระมัดระวังต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยไปจนถึงเดือนกันยายน โดยคาดว่าสถานการณ์จะดีขึ้นหลังจากนั้นเนื่องจากเข้าสู่ช่วงเริ่มฤดูกาลท่องเที่ยวในเดือนตุลาคม ทั้งนี้ คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตร้อยละ 2.6 ในครึ่งปีแรกและเติบโตร้อยละ 2.2 ในครึ่งปีหลังของปีนี้ นอกจากนี้ ธนาคารได้ปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อทั่วไปมาอยู่ที่ร้อยละ 0.8 จากเดิมที่คาดไว้ที่ร้อยละ 1.3 โดยคาดว่าเงินเฟ้อจะอยู่ต่ำกว่ากรอบเป้าหมายของ ธปท. ที่ตั้งไว้ที่ร้อยละ 1-3 ไปจนถึงไตรมาสที่ 3 ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากฐานเดิมที่อยู่ในระดับสูง ประกอบกับการฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ในภาคการบริโภค โดยเราคงคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานไว้ที่ร้อยละ 0.9 สำหรับปี 2568 ดร.ทิม กล่าว
ธนาคารคาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 ในการประชุมเดือนเมษายนนี้ หลังจากนั้นจะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมิถุนายน และลดดอกเบี้ยอีกครั้งในไตรมาส 3 ทำให้ทั้งปีอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ที่ร้อยละ 1.5 ในสิ้นปี 2568 สอดคล้องกับการปรับประมาณการเศรษฐกิจของธนาคาร อย่างไรก็ตาม กนง.อาจจะลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่คาด เนื่องจาก ธปท. ไม่ได้ส่งสัญญาณทิศทางดอกเบี้ยขาลงอย่างชัดเจน
“ส่วนค่าเงินบาทนั้นแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว จาก 35.0 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ มาอยู่ที่เกือบ 33.0 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ ตามค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนลงทั่วโลก ประกอบกับราคาทองคำที่ยังคงทำระดับสูงอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ยังคงมองว่าค่าเงินบาทอาจจะกลับไปผันผวนอีกและอ่อนค่าลงในช่วงกลางปี เนื่องจากไตรมาส 2 เป็นช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว ประกอบกับยังมีความไม่แน่นอนเรื่องสงครามการค้า” ดร.ทิม กล่าว. -516-สำนักข่าวไทย