ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 12 มี.ค. – ตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมสมาคมนักวิเคราะห์ฯ ดึงความเชื่อมั่นนักลงทุน พร้อมศึกษากองทุนพยุงหุ้นให้สอดคล้องกับสถานการณ์
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยหลังปิดตลาดวันที่ 12 มี.ค. ว่า วันนี้ ตลท.ใช้มาตรการเซอร์กิตเบรกเกอร์หลังจากดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) ลดลงไป 10% และหลังจากเปิดทำการอีกครั้งก็ยังติดลบประมาณ 10% จนถึงตลาดปิดทำการตามเวลาปกติ ดัชนีอยู่ที่ 1,114.91 จุด มูลค่าการซื้อขาย 101,652.04 ล้านบาท ปรับลด 134.98 จุด เปลี่ยนแปลง -10.80% มีนักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 4,636.95 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ 4,077.94 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,928.87 ล้านบาท และนักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิ 10,643.76 ล้านบาท โดยมองว่าตลาดหุ้นลดลงอย่างมากเริ่มจากกลางเดือน ก.พ.จากปัจจัยการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-49 และร่วงลงแรงอีกครั้งช่วงวันศุกร์ที่ 6 มี.ค.จากสถานการณ์ราคาน้ำมัน และยังมีข่าวเรื่องโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้ราคาหุ้นใน SET และ mai ต่ำสุดในรอบ 5 ปี จำนวน 231 ตัว โดยฐานราคาปรับลงมาค่อนข้างมาก ขณะเดียวกันมีหุ้น Price to Book ต่ำกว่า 1 เท่า จำนวน 448 หุ้น แสดงว่ามูลค่าสินทรัพย์สูงกว่าราคาหุ้น เป็นโอกาสของการเข้าซื้อกิจการ เพราะซื้อหุ้นในตลาดได้ถูกมาก และมีบริษัทที่ประกาศจ่ายปันผลแล้วพบว่าอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) สูงกว่า 5% มี 66 บริษัท ขณะที่อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลอยู่ที่ 0.8%
ส่วนถึงกรณีที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี มีแนวคิดให้ศึกษาและเร่งจัดตั้งกองทุนสร้างเสถียรภาพทางตลาดทุน เพื่อดูแลตลาดทุนไทย จากภาวะที่ตลาดหุ้นไม่ปกติ ว่า ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาการจัดตั้งกองทุนสร้างเสถียรภาพตลาดทุน ที่มีความเหมาะสมกับสถานการณ์และนักลงทุนอย่างดีที่สุด เนื่องจากตลาดมีความอ่อนไหวมากในขณะนี้ จึงต้องศึกษาแนวทางของประเทศอื่นควบคู่ไป ขณะเดียวกันก็จะการศึกษามาตรการอื่นๆ เพิ่มเติมในทุกแนวทาง รวมไปถึงการทบทวนธุรกรรม Short Selling หากจะมีผลต่อ Sentiment รวมถึงเรื่องอื่น ๆ ที่จะช่วยให้ตลาดหลักทรัพย์กลับเข้าสู่ภาวะปกติและมีความมั่นคง
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ปรับตัวลดลง สาเหตุมาจากราคาน้ำมันปรับตัวลงรุนแรง จากความล้มเหลวในการประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันออก (โอเปก) เบื้องต้นประเมินว่าทิศทางราคาน้ำมันจะยังลงต่อเนื่อง และการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สำหรับเศรษฐกิจไทย ขณะนี้หลายสำนักคาดการณ์ว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ปีนี้น่าจะเติบโตได้ไม่เกิน 1.5%
ส่วนสถานการณ์ตลาดหุ้นไทย ยังคงต้องติดตามสถานการณ์ทั้งภายในและภายนอกอย่างใกล้ชิด ซึ่งถือเป็นจังหวะที่ดีของนักลงทุนระยะยาวในการเข้าลงทุนหุ้นที่มีพื้นฐานดีเพื่อรับผลตอบแทนที่ดีในอนาคต แนะนักลงทุนบริหารจัดการพอร์ตอย่างเหมาะสม เลือกลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ ขณะที่มองว่า ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีพอสมควรในช่วงที่เศรษฐกิจอลหม่าน . – สำนักข่าวไทย