ยกเลิกฟรีวีซ่า และ Visa on Arrival  มีผล13 มี.ค.-30 ก.ย.

ทำเนียบฯ 12 มี.ค.- “พล.อ.อนุพงษ์” แจงยกเลิกฟรีวีซ่า และ Visa on Arrival ( voa) ใน 18 ประเทศ มีผลพรุ่งนี้ (13 มี.ค.) ถึง 30 ก.ย. ยันไม่ได้ห้ามเข้าประเทศ แต่ป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19  ยังไม่ปิดศูนย์กักตัวทั่วประเทศ ปรับวิธีควบคุมที่บ้าน มั่นใจมีประสิทธิภาพ  ขณะที่รัฐมนตรี ดีอีเอส เปิดตัวติดตามผู้ที่กลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยง 


นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ กล่าวถึงการเตรียมแถลงข่าวของศูนย์ข้อมูลมาตราการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อโควิด-19 กล่าวว่า  รัฐบาลอยากให้เกิดความมั่นใจกับประชาชนในการดูแลป้องกันของคนที่เดินทางกลับมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง ซึ่งบุคคลเหล่านั้นจะต้องขอวีซ่าและมีใบรับรองแพทย์ จึงจะเข้าประเทศไทยได้ ส่วนประเทศที่เหลือที่ไม่ได้เป็นประเทศกลุ่มเสี่ยง ก็จะมีมาตรการคัดกรองตามขั้นตอน ซึ่งมั่นใจในมาตรฐานได้ หากพบว่าป่วยจะถูกแยกตัวไปตรวจที่โรงพยาบาล 

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงเฝ้าระวัง  14 วัน จะต้องให้กำลังใจและให้ความรักคนที่ทุกกักตัว ให้ผ่านไปได้ด้วยเช่นกัน อยากให้ผู้ที่อยู่ระหว่างเฝ้าอาการหรือถูกกักกันโรค ให้มีความรับผิดชอบ ไม่ออกไปนอกพื้นที่กักตัว อยากให้คิดว่าไม่ใช่คนป่วย แต่เป็นคนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมสูงมาก หากปกปิดข้อมูลจะมีความผิดตามกฎหมายพ.ร.บ.ควบคุมโรค


พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ไม่มีการปิดศูนย์ดูแลสุขภาพผู้มีความเสี่ยง หรือศูนย์กักตัวทั่วประเทศ เป็นเพียงการเปลี่ยนวิธีการควบคุมตัว ให้ผู้ที่สังเกตอาการไปอยู่ที่ภูมิลำเนา  เมื่อวานนี้ตนสื่อสารผิดพลาด และขณะนี้ผู้ที่อยู่ในศูนย์กักตัว ก็ได้ทยอยนำส่งกลับภูมิลำเนาแล้ว และศูนย์กักตัวยังคงมีไว้เตรียมพร้อมเพื่อรองรับสถานการณ์ในอนาคต ในแต่ละพื้นที่มีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขท้องถิ่น รวมถึงกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เข้าไปดูแล รวมถึงใช้วิธีการให้ชุมชุนดูแลกันเอง และเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือกันอย่างเต็มที่ ตามแนวทางของกระทรวงสาธารสุข ขอให้มั่นใจว่าการกักตัวอยู่ที่บ้าน เป็นวิธีที่ดีที่สุดและมีประสิทธิภาพ 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ยังกล่าวถึงการยกเลิกฟรีวีซ่า ใน 3 ประเทศ คือเกาหลีใต้ ฮ่องกง และ อิตาลี และยกเลิกการตรวจลงตราหรือ Visa on Arrival  หรือ voa ใน 18 ประเทศ  เพื่อเป็นมาตรการลดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ไม่ได้ยกเลิกให้เดินทางเข้าประเทศไทย  เพียงแต่เข้าสู่การขอวีซ่าตามขั้นตอน ต้องไปขอ วีซ่าที่สถานทูตไทยก่อน  โดยกระทรวงการต่างประเทศได้มีการประสานให้ผู้ที่จะเดินทางมาไทย อยู่ในประเทศต้นทางก่อน 14 วัน เหมือนกับกรณีผู้ที่เดินทางมาจาก 4 ประเทศกลุ่มเสี่ยง การยกเลิกฟรีวีซ่า และ voa จะมีผลตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม – 30 กันยายน 2563 ลงนามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อาศัยอำนาจตามพ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่ออันตราย

ด้านนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า กระทรวงได้ร่วมกับน้อง ๆ กลุ่มคนรุ่นใหม่ รวมถึงดิจิทัลสตาร์ทอัพ สัญชาติไทย ภายใต้ชื่อว่า ThaiFightCOVID โดยจัดทำแอฟพลิเคชั่น “AOT Airports” มาใช้ สำหรับเก็บข้อมูลบุคคลทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ หรือนักท่องเที่ยว ที่เดินทางเข้าสู่ราชอาณาจักรไทย ที่จะถูกติดตาม โดยใช้มือถือในการเข้าไปโหลดแอฟพลิเคชั่นดังกล่าว ถือเป็นการสร้างความเชื่อมั่น และความมั่นใจให้กับภาคประชาชน เพื่อรับมือสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อ โควิด-19


รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ  กล่าวว่า ผู้โดยสารที่เป็นลูกค้าของผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ หลังจากที่ผ่านจุดคัดกรอง จะมีบาร์โค๊ดให้ใช้โทรศัพท์มือถือสแกนเพื่อโหลด เมื่อโหลดเสร็จ ให้ถ่ายบอร์ดดิ้งพาส ให้กรอกข้อมูลส่วนตัว และบัตรประชาชนหรือพาสปอร์ต ใช้เวลาประมาณ 2 นาที เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจะเป็นผู้ตรวจสอบว่ามีการโหลดแอฟพลิเคชั่นนี้มาแล้วหรือไม่ และได้กรอกข้อมูลส่วนตัวครบถ้วนสมบูรณ์หรือไม่ เมื่อนั้นถึงจะอนุญาตให้เข้าประเทศ ส่วนผู้ที่ไม่มีซิมการ์ด สามารถซื้อซิมการ์ดจากผู้ให้บริการที่วางจำหน่าย ณ จุดวัดอุณหภูมิ ในราคา 49 บาท ใช้ซิมได้ 14 วัน ซื้อได้ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ

นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ข้อมูลทั้งหมดจะถูกรวบรวมไว้ที่กรมควบคุมโรค  เพื่อใช้ในการติดต่อสื่อสารข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ โควิด -19 และหากพบว่ามีการติดเชื้อภายหลังผ่านเข้าประเทศแล้ว  กรมควบคุมโรคจะแจ้งให้ กสทช. และผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รับทราบ ก่อนติดตามพิกัดของผู้ป่วยและผู้ที่เดินทางร่วมกันได้ทันท่วงที อย่างไรก็ตามข้อมูลดังกล่าวจะถูกเก็บไว้ 14 วันเท่านั้น จากนั้นข้อมูลจะถูกลบไป ตามพ.ร.บ.คุ้มครองส่วนบุคคลและสากล 

“แอพพลิเคชั่น ดังกล่าวจัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อระบุตัวตนอย่างเรียลไทม์ ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยจะมีเจ้าหน้าที่ติดตาม คัดกรอง และจำกัดพื้นที่ เป็นการสร้างสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง หากพบว่าไม่มีการเคลื่อนไหวนานจนผิดปกติจะส่งเจ้าหน้าที่กรมควบคุมโรค ,มหาดไทย และตำรวจ จะลงไปตรวจสอบในทันที”นายพุทธิพงษ์ กล่าว‹

นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ระบบแอพพลิเคชั่นดังกล่าวจะมีการป้องกัน Fake GPS มีการล็อคระบบไม่สามารถเคลื่อนย้าย GPS ได้ตามใจชอบ เหมือนการแชร์โลเคชั่นในแอพพลิเคชั่นไลน์  หากปิดบังข้อมูลจะมีความผิด รวมถึงหากเปลี่ยนพิกัดติดตามตัวก็จะมีความผิดตามกฎหมายเช่นกัน รวมถึงหากพบการละเลย เพิกเฉย ความรับผิดชอบต่อสังคม ในกรณีต่าง ๆ ก็จะมีโทษตามพ.ร.บ.ควบคุมโรค ขอความร่วมมือจากกลุ่มเสี่ยงลดผลกระทบ ร่วมมือก้าวผ่านวิกฤติไปด้วยกัน อย่างไรก็ตามแอฟพลิเคชั่นอาจไม่ได้ตอบโจทย์ทุกอย่าง แต่มีหน้าที่ช่วยสนับสนุนหน่วยงานต่าง ๆ  เมื่อเช้าได้ไปดูมาแล้วที่สนามบิน พบว่ามีคนโหลดแอฟพลิเคชั่นนี้แล้ว และได้กรอกข้อมูล โดยใช้เวลาประมาณ 2 นาที

นายพุทธิพงษ์ กล่าวถึงกรณีผู้ที่เดินทางกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยง ต้องกลับไปกักตัวที่บ้าน หรือภูมิลำเนา ว่า ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จะมีคิวอาร์โค้ดศูนย์กลาง และคิวอาร์โค้ดสำหรับ 50 เขต และ 76 จังหวัดทั่วประเทศให้ดาวน์โหลด โดยทุกคนต้องดาวน์โหลด เพื่อให้ติดตามตัวจากการแสดงตัวตนที่อยู่ตามภูมิลำเนา ของตัวเองก่อนออกจากศูนย์กักกัน เพื่อคอยตรวจสอบพฤติกรรมประจำวันว่ากักกันตัวเองตามระยะเวลาที่กำหนดหรือไม่ โดยแอพพลิเคชันนี้จะทำงานควบคู่กับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจังหวัดที่จะคอยดูแลอย่างใกล้ชิดและหากผู้ใดฝ่าฝืนจะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ค้น 17 จุดกรุงเทพฯ-ลพบุรี คุมตัว “หลวงพ่ออลงกต-หมอบี”

26 ส.ค.- ตำรวจสอบสวนกลาง ปิดล้อมตรวจค้น 17 จุด “กรุงเทพฯ-ลพบุรี” บุกรวบ “หลวงพ่ออลงกต” หลังพฤติกรรมชัดทุจริตยักยอกเงินบริจาค ขณะที่ “หมอบี” โดนด้วย หิ้วตัวเค้นสอบ เมื่อเวลา 01.00 น.วันที่ 26 ส.ค. มีรายงานว่าทางตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) นำโดย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. สั่งการให้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รองผบช.ก. พล.ต.ต. วิทยา ศรีประเสิรฐภาพ ผบก.ป.พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปปพ.ต.อ.มนูญ แก้วก่ำ ผกก.1 บก.ป ปิดล้อมตรวจค้น 17 จุด ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ลพบุรี เพื่อควบคุม หลวงพ่ออลงกต อดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี และนายเสกสันน์ หรือหมอบี และพวก ตามหมายจับ ความผิด ม.147, 157 […]

ศาล รธน. สั่งเอาผิดเผยแพร่คลิป “นั่งลงลูก”

ศาล รธน. 25 ส.ค.-ศาลรัฐธรรมนูญ สั่งเอาผิดเผยแพร่คลิป “นั่งลงลูก” ชี้บิดเบือน-ทำเสียหาย ศาลรัฐธรรมนูญได้ออกเอกสารข่าว ระบุว่า ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งพิจารณาคดี เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม 2568 ไต่สวนพยานบุคคลที่ศาลรัฐธรรมนูญเรียกมาให้ถ้อยคำ จำนวน 2 ปาก ได้แก่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้อง และนายฉัตรชัย บางขวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เรื่อง ประธานวุฒิสภา ส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ เมื่อเสร็จสิ้นการไต่สวนแล้ว ศาลมีคำสั่งห้ามมิให้ผู้เข้าฟังการไต่สวนนำข้อมูลการไต่สวนไปเผยแพร่ และห้ามไม่ให้บิดเบือนข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายในลักษณะที่สร้างความเข้าใจผิดต่อสาธารณชน อันเป็นคำสั่งศาลตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 […]

“แพทองธาร” รีโพสต์โต้คลิปบิดเบือน ยันศาลบอก “นั่งลงครับ”

กรุงเทพฯ 25 ส.ค.- “แพทองธาร” รีโพสต์สตอรี่ไอจี โต้ดรามาคลิปบิดเบือน ยันศาล รธน. บอก “นั่งลงครับ” นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม รีโพสต์สตอรี่ในอินสตราแกรมของสำนักข่าว VOICE TV ยืนยันไม่เป็นความจริง ต่อกระแสดรามาปล่อยคลิปเสียงตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พูดว่า “นั่งลงลูก” ภายหลัง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวคําปฏิญาณ ในระหว่างที่ศาลรัฐธรรมนูญไต่สวนพยาน คดีคลิปสนทนากับ ฮุน เซน เมื่อวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งในคลิปดังกล่าวมีข้อความระบุว่า ฟังชัดๆๆ ศาลบอกว่า “นั่งลงครับ” ไม่ใช่ “นั่งลงลูก” อย่างที่มีคนปั่น!! อย่ามั่ว อย่าบิดเบือนข่าว อย่างไรก็ตาม คาดว่าในช่วงเช้าวันนี้ (25 ส.ค.) นางสาวแพทองธาร จะดำเนินการเรื่องการส่งคำแถลงปิดคดีต่อศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากศาลนัดยื่นคำแถลงปิดคดีภายในวันนี้ ก่อนจะนัดฟังคำวินิจฉัยในวันที่ 29 สิงหาคม เวลา 15.00 น.-316 -สำนักข่าวไทย

ปลัด มท. สั่งสอบด่วน ปมสแกนม่านตาแลกเหรียญ

ไอคอนสยาม 25 ส.ค.- ปลัด มท. เผยยังไม่ได้รับรายงานปมสแกนม่านตาแลกเหรียญ สั่งกรมการปกครองสอบด่วน นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่มีรายงานว่า มีกลุ่มบุคคลสแกนม่านตาประชาชนและชักชวนให้เข้าไปใช้แอปพลิเคชันเพื่อแลกกับเงินหรือเหรียญในระบบ ว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงาน แต่หากเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง กระทรวงมหาดไทยจะสั่งการให้กรมการปกครองดำเนินการแก้ไขและจัดการอย่างถูกต้องทั่วประเทศอย่างไรก็ตาม หากประชาชนพบเห็นพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง สามารถแจ้งเรื่องมายังกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้ทุกจังหวัดดำเนินการตรวจสอบตามข้อเท็จจริง ส่วนกรณีที่มีรายงานว่ายังมีการดำเนินการในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ปลัดกระทรวงมหาดไทยยืนยันว่าจะเร่งตรวจสอบทั้งที่สุราษฎร์ธานีและทุกจังหวัดที่ได้รับเรื่องร้องเรียน ทั้งนี้ การตรวจสอบจะพิจารณาว่าความผิดปกติเกิดจากเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคลอื่น หากพบว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ กระทรวงมหาดไทยจะดำเนินการตามระเบียบอย่างเคร่งครัด โดยย้ำให้ประชาชนมั่นใจว่า กระทรวงพร้อมตรวจสอบอย่างโปร่งใส.-319 -สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

อุตุฯ เผยภาคเหนือฝนตกหนักบางแห่ง-กทม.ฟ้าคะนอง 40%

กรุงเทพฯ 28 ส.ค. – กรมอุตุฯ เผยมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณ จ.แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย และน่าน ระวังอันตรายจากฝนตกหนัก ส่วนกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง 40% กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนอง และมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนโดยเฉพาะบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย และน่าน ระวังอันตรายจากฝนตกหนัก และฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม เนื่องจากร่องมรสุมพาดผ่านประเทศเมียนมา ตอนบนของภาคเหนือ เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศลาว และเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบน มีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันตอนบน มีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนบนและทะเลอันดามันตอนล่าง มีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง กรุงเทพฯ และปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ […]

กั้นแนวถนนบ้านหนองจาน ตามประกาศเคอร์ฟิว

สระแก้ว 27 ส.ค. – มวลชนชาวไทยร่วมร้องเพลงชาติ ที่บ้านหนองจาน จ.สระแก้ว เมื่อเวลา 18.00 น. จากนั้นทหารขอความร่วมมือให้ออกนอกพื้นที่ ตามประกาศเคอร์ฟิว ก่อนนำลวดหนามและเครื่องกีดขวาง กั้นแนวขอบถนนศรีเพ็ญ ห้ามผู้ใดข้ามไป เพื่อความปลอดภัย. – สำนักข่าวไทย

ดินถล่มหมู่บ้าน อ.แม่แจ่ม ตาย 3 สูญหาย 6

เชียงใหม่ 27 ส.ค. – ฝนที่ตกหนักจากฤทธิ์ของพายุ “คาจิกิ” ทำให้เกิดดินถล่มในหมู่บ้านปางอุ๋ง ซึ่งอยู่บนดอยสูง อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ มีผู้เสียชีวิตแล้ว 3 ราย บาดเจ็บ 15 ราย และยังสูญหายอีก 6 ราย สภาพหมู่บ้านเต็มไปด้วยดินโคลนที่ถล่มลงมาทับบ้านเรือนเสียหายนับร้อยหลัง. – สำนักข่าวไทย

“มาริษ” แจงข้าหลวงใหญ่ UN ปมกัมพูชา

สวิตเซอร์แลนด์ 27 ส.ค.-“มาริษ” เผยคุยรองข้าหลวงใหญ่ UN ปมไทย-กัมพูชา สัญญาณบวก เข้าใจไทยไม่ทำผิดกติการะหว่างประเทศ ไม่เห็นด้วย “ฮุน เซน” อัดเสียงคุยนายกฯ และการใช้สงครามข่าวปลอม นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เข้าพบหารือกับนางนาดา อัล-นาชิฟ (Nada Al-Nashif) รองข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เพื่อแสดงข้อมูลหลักฐานและชี้แจงข้อเท็จจริงต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างไทยกับกัมพูชา นายมาริษ เปิดเผยภายหลังการหารือว่า ได้เล่าให้รองข้าหลวงใหญ่ฯ ฟังถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนของกัมพูชาในหลายประเด็น ซึ่งรองข้าหลวงใหญ่ฯมีความเห็นที่สนับสนุนประเทศไทยในหลายเรื่อง และมีท่าทีที่เป็นห่วงประเทศไทยมาก ซึ่งตนได้ชี้แจงข้อเท็จจริง โดยเฉพาะการที่กัมพูชาใช้โซเชียลมีเดียโจมตีไทยมานานแล้ว มีการให้ข้อมูลว่าไทยลอกเลียนแบบวัดและประวัติศาสตร์ของกัมพูชา ซึ่งไทยพยายามแก้ไขปัญหานี้ด้วยความอดทนอดกลั้น และพยายามชี้แจงให้เห็นว่าเป็นประวัติศาสตร์ที่ก่อตั้งกันมาจากรากเหง้าทางวัฒนธรรมเดียวกัน ไทยต้องการแก้ไขปัญหาไม่ต้องการแสดงความร้าวฉานระหว่างชุมชนและ ประชาชนของทั้งสองประเทศ และเมื่อปัญหาคุกรุ่นมากขึ้นไทยก็พยายาม แก้ปัญหาด้วยการให้กัมพูชามาพูดคุยแบบทวิภาคี เป็นการอธิบายให้รองข้าหลวงใหญ่ฯ ได้เข้าใจว่าไทยปฏิบัติตามกติกา ยึดถือกฎบัตรสหประชาชาติและกฎหมายระหว่างประเทศ และพยายามหาทางให้กัมพูชามาพูดคุยกับไทย ซึ่งไทยกับกัมพูชามีข้อตกลง MOU43 ที่ทั้งสองประเทศจะต้องแก้ปัญหาร่วมกันอย่างสันติวิธี และด้วยความจริงใจ นับเป็นกลไกที่องค์การสหประชาชาติให้ความสำคัญ คือการเจรจาทวิภาคีโดยสันติและจริงใจ โดยไทยยึดมั่นมาโดยตลอด และเป็นเป้าหมายที่สำคัญของไทย นายมาริษ กล่าวว่าตนได้หยิบยกประเด็นที่สมเด็จฮุน เซน อัดเสียงพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีของไทย และนำมาเผยแพร่ในที่สาธารณะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง […]