ยกเลิกฟรีวีซ่า และ Visa on Arrival  มีผล13 มี.ค.-30 ก.ย.

ทำเนียบฯ 12 มี.ค.- “พล.อ.อนุพงษ์” แจงยกเลิกฟรีวีซ่า และ Visa on Arrival ( voa) ใน 18 ประเทศ มีผลพรุ่งนี้ (13 มี.ค.) ถึง 30 ก.ย. ยันไม่ได้ห้ามเข้าประเทศ แต่ป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19  ยังไม่ปิดศูนย์กักตัวทั่วประเทศ ปรับวิธีควบคุมที่บ้าน มั่นใจมีประสิทธิภาพ  ขณะที่รัฐมนตรี ดีอีเอส เปิดตัวติดตามผู้ที่กลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยง 


นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ กล่าวถึงการเตรียมแถลงข่าวของศูนย์ข้อมูลมาตราการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อโควิด-19 กล่าวว่า  รัฐบาลอยากให้เกิดความมั่นใจกับประชาชนในการดูแลป้องกันของคนที่เดินทางกลับมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง ซึ่งบุคคลเหล่านั้นจะต้องขอวีซ่าและมีใบรับรองแพทย์ จึงจะเข้าประเทศไทยได้ ส่วนประเทศที่เหลือที่ไม่ได้เป็นประเทศกลุ่มเสี่ยง ก็จะมีมาตรการคัดกรองตามขั้นตอน ซึ่งมั่นใจในมาตรฐานได้ หากพบว่าป่วยจะถูกแยกตัวไปตรวจที่โรงพยาบาล 

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงเฝ้าระวัง  14 วัน จะต้องให้กำลังใจและให้ความรักคนที่ทุกกักตัว ให้ผ่านไปได้ด้วยเช่นกัน อยากให้ผู้ที่อยู่ระหว่างเฝ้าอาการหรือถูกกักกันโรค ให้มีความรับผิดชอบ ไม่ออกไปนอกพื้นที่กักตัว อยากให้คิดว่าไม่ใช่คนป่วย แต่เป็นคนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมสูงมาก หากปกปิดข้อมูลจะมีความผิดตามกฎหมายพ.ร.บ.ควบคุมโรค


พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ไม่มีการปิดศูนย์ดูแลสุขภาพผู้มีความเสี่ยง หรือศูนย์กักตัวทั่วประเทศ เป็นเพียงการเปลี่ยนวิธีการควบคุมตัว ให้ผู้ที่สังเกตอาการไปอยู่ที่ภูมิลำเนา  เมื่อวานนี้ตนสื่อสารผิดพลาด และขณะนี้ผู้ที่อยู่ในศูนย์กักตัว ก็ได้ทยอยนำส่งกลับภูมิลำเนาแล้ว และศูนย์กักตัวยังคงมีไว้เตรียมพร้อมเพื่อรองรับสถานการณ์ในอนาคต ในแต่ละพื้นที่มีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขท้องถิ่น รวมถึงกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เข้าไปดูแล รวมถึงใช้วิธีการให้ชุมชุนดูแลกันเอง และเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือกันอย่างเต็มที่ ตามแนวทางของกระทรวงสาธารสุข ขอให้มั่นใจว่าการกักตัวอยู่ที่บ้าน เป็นวิธีที่ดีที่สุดและมีประสิทธิภาพ 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ยังกล่าวถึงการยกเลิกฟรีวีซ่า ใน 3 ประเทศ คือเกาหลีใต้ ฮ่องกง และ อิตาลี และยกเลิกการตรวจลงตราหรือ Visa on Arrival  หรือ voa ใน 18 ประเทศ  เพื่อเป็นมาตรการลดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ไม่ได้ยกเลิกให้เดินทางเข้าประเทศไทย  เพียงแต่เข้าสู่การขอวีซ่าตามขั้นตอน ต้องไปขอ วีซ่าที่สถานทูตไทยก่อน  โดยกระทรวงการต่างประเทศได้มีการประสานให้ผู้ที่จะเดินทางมาไทย อยู่ในประเทศต้นทางก่อน 14 วัน เหมือนกับกรณีผู้ที่เดินทางมาจาก 4 ประเทศกลุ่มเสี่ยง การยกเลิกฟรีวีซ่า และ voa จะมีผลตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม – 30 กันยายน 2563 ลงนามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อาศัยอำนาจตามพ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่ออันตราย

ด้านนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า กระทรวงได้ร่วมกับน้อง ๆ กลุ่มคนรุ่นใหม่ รวมถึงดิจิทัลสตาร์ทอัพ สัญชาติไทย ภายใต้ชื่อว่า ThaiFightCOVID โดยจัดทำแอฟพลิเคชั่น “AOT Airports” มาใช้ สำหรับเก็บข้อมูลบุคคลทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ หรือนักท่องเที่ยว ที่เดินทางเข้าสู่ราชอาณาจักรไทย ที่จะถูกติดตาม โดยใช้มือถือในการเข้าไปโหลดแอฟพลิเคชั่นดังกล่าว ถือเป็นการสร้างความเชื่อมั่น และความมั่นใจให้กับภาคประชาชน เพื่อรับมือสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อ โควิด-19


รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ  กล่าวว่า ผู้โดยสารที่เป็นลูกค้าของผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ หลังจากที่ผ่านจุดคัดกรอง จะมีบาร์โค๊ดให้ใช้โทรศัพท์มือถือสแกนเพื่อโหลด เมื่อโหลดเสร็จ ให้ถ่ายบอร์ดดิ้งพาส ให้กรอกข้อมูลส่วนตัว และบัตรประชาชนหรือพาสปอร์ต ใช้เวลาประมาณ 2 นาที เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจะเป็นผู้ตรวจสอบว่ามีการโหลดแอฟพลิเคชั่นนี้มาแล้วหรือไม่ และได้กรอกข้อมูลส่วนตัวครบถ้วนสมบูรณ์หรือไม่ เมื่อนั้นถึงจะอนุญาตให้เข้าประเทศ ส่วนผู้ที่ไม่มีซิมการ์ด สามารถซื้อซิมการ์ดจากผู้ให้บริการที่วางจำหน่าย ณ จุดวัดอุณหภูมิ ในราคา 49 บาท ใช้ซิมได้ 14 วัน ซื้อได้ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ

นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ข้อมูลทั้งหมดจะถูกรวบรวมไว้ที่กรมควบคุมโรค  เพื่อใช้ในการติดต่อสื่อสารข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ โควิด -19 และหากพบว่ามีการติดเชื้อภายหลังผ่านเข้าประเทศแล้ว  กรมควบคุมโรคจะแจ้งให้ กสทช. และผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รับทราบ ก่อนติดตามพิกัดของผู้ป่วยและผู้ที่เดินทางร่วมกันได้ทันท่วงที อย่างไรก็ตามข้อมูลดังกล่าวจะถูกเก็บไว้ 14 วันเท่านั้น จากนั้นข้อมูลจะถูกลบไป ตามพ.ร.บ.คุ้มครองส่วนบุคคลและสากล 

“แอพพลิเคชั่น ดังกล่าวจัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อระบุตัวตนอย่างเรียลไทม์ ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยจะมีเจ้าหน้าที่ติดตาม คัดกรอง และจำกัดพื้นที่ เป็นการสร้างสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง หากพบว่าไม่มีการเคลื่อนไหวนานจนผิดปกติจะส่งเจ้าหน้าที่กรมควบคุมโรค ,มหาดไทย และตำรวจ จะลงไปตรวจสอบในทันที”นายพุทธิพงษ์ กล่าว‹

นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ระบบแอพพลิเคชั่นดังกล่าวจะมีการป้องกัน Fake GPS มีการล็อคระบบไม่สามารถเคลื่อนย้าย GPS ได้ตามใจชอบ เหมือนการแชร์โลเคชั่นในแอพพลิเคชั่นไลน์  หากปิดบังข้อมูลจะมีความผิด รวมถึงหากเปลี่ยนพิกัดติดตามตัวก็จะมีความผิดตามกฎหมายเช่นกัน รวมถึงหากพบการละเลย เพิกเฉย ความรับผิดชอบต่อสังคม ในกรณีต่าง ๆ ก็จะมีโทษตามพ.ร.บ.ควบคุมโรค ขอความร่วมมือจากกลุ่มเสี่ยงลดผลกระทบ ร่วมมือก้าวผ่านวิกฤติไปด้วยกัน อย่างไรก็ตามแอฟพลิเคชั่นอาจไม่ได้ตอบโจทย์ทุกอย่าง แต่มีหน้าที่ช่วยสนับสนุนหน่วยงานต่าง ๆ  เมื่อเช้าได้ไปดูมาแล้วที่สนามบิน พบว่ามีคนโหลดแอฟพลิเคชั่นนี้แล้ว และได้กรอกข้อมูล โดยใช้เวลาประมาณ 2 นาที

นายพุทธิพงษ์ กล่าวถึงกรณีผู้ที่เดินทางกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยง ต้องกลับไปกักตัวที่บ้าน หรือภูมิลำเนา ว่า ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จะมีคิวอาร์โค้ดศูนย์กลาง และคิวอาร์โค้ดสำหรับ 50 เขต และ 76 จังหวัดทั่วประเทศให้ดาวน์โหลด โดยทุกคนต้องดาวน์โหลด เพื่อให้ติดตามตัวจากการแสดงตัวตนที่อยู่ตามภูมิลำเนา ของตัวเองก่อนออกจากศูนย์กักกัน เพื่อคอยตรวจสอบพฤติกรรมประจำวันว่ากักกันตัวเองตามระยะเวลาที่กำหนดหรือไม่ โดยแอพพลิเคชันนี้จะทำงานควบคู่กับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจังหวัดที่จะคอยดูแลอย่างใกล้ชิดและหากผู้ใดฝ่าฝืนจะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

ศาลอาญาฯ อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท”

กรุงเทพฯ 7 ส.ค. – ศาลอาญาพระโขนง อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท” ตีราคาประกัน 100,000 บาท หลังตำรวจนำตัวฝากขัง คดียาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พนักงานสอบสวน สน.คลองตัน ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาพระโขนง ฝากขังครั้งที่ 1 นายธนัตถ์ หรือ ไฮโซลูกนัท อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาคดีกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ โดยศาลอนุญาตฝากขังตามคำร้อง ซึ่งวันนี้ผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ตีราคาประกัน 100,000 บาท โดยผู้ต้องหานำเงินสดเป็นหลักประกันตนเอง.-สำนักข่าวไทย

รมว.ต่างประเทศ ย้ำทูตไทยทั่วโลกแจงผลประชุม GBC

7 ส.ค. – รมว.ต่างประเทศ ถกทูตไทยทั่วโลก ชื่นชมผลประชุม GBC กำชับทูตไทยทั่วโลกทำงานเชิงรุก เดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริง บนพื้นฐานของหลักฐานเชิงประจักษ์ ชี้ “ความจริงจะชนะทุกสิ่ง” นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานการประชุมแบบออนไลน์ ร่วมกับ เอกอัครราชทูตไทย ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต และคณะผู้แทนถาวรไทยในต่างประเทศจาก 70 ประเทศทั่วโลก และกรมต่างๆ เพื่อชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป General Border Committee หรือ GBC ที่ประเทศมาเลเซีย พร้อมมอบนโยบายและแนวทางในการดำเนินการของกระทรวงฯ และสำนักงานในต่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนดังกล่าวอย่างบูรณาการร่วมกัน นายมาริษ กล่าวถึงผลของการประชุม GBC และข้อตกลงที่เห็นพ้องร่วมกันทั้ง 13 ข้อ ว่าเป็นพัฒนาการและก้าวสำคัญสำหรับการเจรจาการหยุดยิง บรรลุเป้าหมายที่ต้องการในเบื้องต้น ซึ่งต้องขอบคุณมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ณ ที่นี้ด้วย โดยกระทรวงพร้อมให้การสนับสนุนกระทรวงกลาโหมในการดำเนินการเจรจาต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาได้สนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวงกลาโหม และทำงานร่วมกันอย่างใกล้ ตั้งแต่การเป็นฝ่ายเลขาฯ การร่างเพื่อเสนอกรอบข้อตกลง โดยหลังจากนี้ไทยพร้อมเปิดรับการเจรจาทวิภาคีผ่านช่องทางทางการทูต เพื่อสนับสนุนภารกิจของกระทรวงกลาโหม ภายใต้เงื่อนไขว่าฝ่ายกัมพูชาเคารพและดำเนินการตามข้อตกลงของการเจรจาหยุดยิงต่อไป […]

ชาวบ้านยังไม่วางใจ แม้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง

อุบลราชธานี 7 ส.ค. – ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดน จ.อุบลราชธานี ยังไม่วางใจสถานการณ์ แม้ผลประชุม GBC ไทย-กัมพูชา ทั้ง 2 ชาติเห็นพ้องข้อตกลงหยุดยิงแล้ว ค่ำคืนนี้หลายหมู่บ้านยังคงมีคำเตือนให้ออกนอกพื้นที่ หลังบางส่วนทยอยกลับเข้ามา .-สำนักข่าวไทย

กต.อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก

กระทรวงการต่างประเทศ 7 ส.ค. – กต. นำผลประชุม GBC อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก เพื่อชี้แจงรัฐบาล-องค์การระหว่างประเทศ พร้อมประเมินระดับความเข้าใจของนานาชาติถึงสถานการณ์ ป้องกันการบิดเบือนข้อมูล นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวเกาะติดพัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้สรุปผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ซึ่งนำโดย พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม หัวหน้าคณะผู้แทนไทย โดยมีผู้แทนจากมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งการประชุมเป็นกลไกหารือทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชา ทั้งนี้ ก่อนการประชุม GBC ประธาน GBC ของทั้ง 2 ฝ่าย ได้เข้าเยี่ยมคารวะ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยได้ยืนยันว่ามาเลเซีย รวมถึงประเทศสมาชิกอาเซียนต่างๆ เห็นตรงกันว่าสนับสนุนให้ใช้กลไกทวิภาคีแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา สอดคล้องกับท่าทีของไทย ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด โดยไม่เสริมกำลังเพิ่ม หลีกเลี่ยงการกระทำที่ยั่วยุทั้งทางการทหาร […]