สธ.21ธ.ค.-สธ.แจงตัวเลขผู้อยู่ในข่ายสอบสวน “โควิด-19” จำนวน 1,151 คน เพิ่มขึ้นถึง 99 คน เพราะขยายการเฝ้าระวังหลายประเทศ ส่วนการประกาศให้โรคนี้เป็นโรคติดต่ออันตรายลำดับที่ 14 ไม่กระทบต่อชีวิตประจำวัน เพียงแต่เพิ่มอำนาจในการควบคุมโรค ห่วงไทยเกิดการแพร่โรคแบบวงกว้าง SUPER SPREADER ย้ำป่วยต้องแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม หน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ
นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ว่า วันนี้สถานการณ์ผู้ป่วยติดเชื้อโควิด -19 ยังคงที่ 35 คน รักษาหายแล้ว 19 คน โดยหายเพิ่มอีก 2 คนจากวานนี้(20 ก.พ.)มี 17 คน เหลือรักษาตัวใน รพ. 16 คนจากวานนี้มี18 คน ส่วนผู้ป่วยอาการหนัก 2 คนยังคงที่ โดยมีผู้ป่วยอยู่ที่เข้าข่ายเกณฑ์สอบสวนโรค 1,151 คน เพิ่มขึ้น 99 คน แต่รักษาหายแล้ว 941 คน
ทั้งนี้ สาเหตุที่พบผู้อยู่ในเกณฑ์สอบสวนโรคเพิ่มขึ้น เนื่องมาจากมีการขยายวงการตรวจคัดกรองให้เพิ่มมากขึ้นในหลายประเทศและเขตปกครองพิเศษ ทั้งจากเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฮ่องกง มาเก๊า จีน ไทเป พร้อมการเฝ้าระวังผู้ป่วยปอดอักเสบใน 8 จังหวัดท่องเที่ยวที่อดีตเคยมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางไปจำนวนมาก
นพ.ธนรักษ์ กล่าวย้ำกว่า ไทยยังไม่ได้มีการห้ามการเดินทาง แต่แนะนำให้เลี่ยงหากไม่จำเป็น หรือเตรียมตัวป้องกันให้พร้อมก่อนการเดินทาง ทั้งหน้ากากอนามัย เจลล้างมือ หากเดินทางไปแหล่งชุมชน หรือมีการไอจาม
ส่วนเรื่องความเข้าใจเรื่องการติดเชื้อแพร่ระบาดในสังคมออนไลน์ที่มีการแชร์เรื่องแอร์โรซอลนั้น ไม่ใช่มาตรฐานทางระบาดวิทยา ยืนยันการติดต่อของเชื้อไควิด-19 ยังเป็นละอองฝอยหรือที่เรียกว่าดร็อปเล็ท ไม่ใช่แอร์บรอนด์ หรือการติดต่อทางอากาศ
ส่วนการประกาศให้โรคนี้เป็นโรคติดต่ออันตรายลำดับที่ 14 นั้น ไม่มีผลกับการปฏิบัติตัวหรือการใช้ชีวิตประจำวันของประชาชน เพียงแต่การประกาศจะเป็นเครื่องมือในการทำงานให้กับบุคลากรทางการแพทย์มากขึ้น และช่วยชะลอยืดระยะเวลาการระบาดออกไปให้นานที่สุด ไม่เข้าสู่การระบาดในระยะ 3 เร็วนัก เหมือนประเทศอื่นๆ
นพ.ธนรักษ์ กล่าวด้วยว่า จาการประชุมคณะกรรมการอำนวยการเตรียมความพร้อมแก้ไขปัญหาโรคอุบัติใหม่แห่งชาติ ครั้งที่ 3 วานนี้ (20 ก.พ.) ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการเตรียมความพร้อมทั้งทรัพยากร และความพร้อมด้านสาธารณสุข โดยกระทรวงกลาโหมจะเข้ามีบทบาทในการดูแลรักษาผู้ป่วยด้วย เพราะเมื่อโรคขยายวงกว้างการรักษาใน รพ.อาจไม่เพียงพอ พร้อม ดูผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเชื้อโคโรนาที่เกิดขึ้นแล้วคือภาคธุรกิจท่องเที่ยว เรื่องเหล่านี้คนไทยต้องช่วยเหลือกัน ไม่ให้เกิดความตื่นตระหนก และช่วยกันป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดขยายวงกว้าง เหมือนเช่นต่างประเทศ ที่เกิดผู้ป่วย SUPER SPREADER (ผู้ที่มีความสามารถในการแพร่เชื้อสูง)เพราะคน 1 คน มีอำนาจการแพร่กระจายโรคได้มาก ขึ้นอยู่กับชีวิตประจำวัน ไปไหน ใช้ชีวิตอย่างไร
นอกจากนี้ยังย้ำเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวม ทำอย่างไรให้โรคนี้ไม่แพร่กระจาย และหยุดอยู่ที่เราไม่ส่งต่อคนอื่น สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรงไม่ได้มีความเสี่ยงสงสัยป่วยหวัด ก็ควรหยุดพักผ่อนอยู่กับบ้าน มีไข้รับประทานยาลดไข้ ดื่มน้ำให้มาก หากต้องไป รพ.ก็ควรสวมหน้ากากอนามัยและหมั่นล้างมือ
ด้านนพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า การตรวจยืนยันหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ผ่านมา หลังกรมวิทยาศาสตร์ การแพทย์ได้ถอดรหัสพันธุกรรม ทำให้สามารถตรวจยืนยันเชื้อได้รวดเร็วมากขึ้น โดยเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาสามารถตรวจยืนยันเชื้อได้มากถึง 1,489 คน และได้มีการถ่ายทอดองค์ความรู้และแชร์ข้อมูลมาตรฐานการตรวจให้กับหน่วยงานอื่น ทั้ง รพ.รัฐและเอกชนและที่ผ่านมามีเพื่อนบ้านมาขอให้ไทยช่วยตรวจยืนยันเชื้อโคโรนาด้วยเช่นกัน
นพ.ปราโมทย์ เสถียรรัตน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า ขณะนี้กรมการแพทย์แผนไทย เตรียมร่วมมือกับกรม วิทยาศาสตร์การแพทย์และองค์การเภสัชกรรม ในการวิจัยศึกษาการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของฟ้าทะลายโจร โดยจะเริ่มทดลองในกลุ่มอาสาสมัคร 10 คนที่มีสุขภาพดี และจากนั้นมาทดลองในการเชื้อไวรัสโคโรนา คาดว่าภายใน 1 เดือนทราบผล ว่าฟ้าทะลายโจรได้ผลหรือไม่ .-สำนักข่าวไทย