กรุงเทพฯ 16 ก.พ. – บอร์ด ธ.ก.ส.อนุมัติออกพันธบัตรสีเขียว ระดมทุน 2 หมื่นล้านบาท หวังปล่อยกู้พัฒนาสิ่งแวดล้อม เดินหน้าตั้งศูนย์พัฒนาเศรษฐกิจชุมชน 77 จังหวัด อัดเงินกู้ 5 หมื่นล้าน พัฒนาท้องถิ่น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ประชุมคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดยมีนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน เห็นชอบให้ ธ.ก.ส ออกพันธบัตรสีเขียว (กรีนบอนด์) วงเงิน 20,000 ล้านบาท เพื่อเสนอขายนักลงทุนประเภทสถาบันในประเทศ หวังระดมทุนนำไปใช้ปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำผ่านโครงการสินเชื่อรักษ์ป่าไม้ ไทยยั่งยืน ให้แก่วิสาหกิจชุมชน กลุ่มเกษตรกร SMEs ภาคเกษตร นับว่า ธ.ก.ส.เป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐแห่งแรกศึกษาเครื่องมือทางการเงินด้วยการออกพันธบัตรสีเขียว เพื่อนำเงินไปใช้ปล่อยกู้โครงการที่เกี่ยวข้อง มุ่งหวังพัฒนาสิ่งแวดล้อมโดยตรงสอดคล้องกับตามมาตรฐานกรีนบอนด์สากล โดยจะมีการตรวจรับรองจากหน่วยงานระดับภูมิภาค
ทั้งนี้ การออกพันธบัตรสีเขียวมุ่งหวังพัฒนาโครงการด้านการเกษตร ด้านการท่องเที่ยวเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตลอดจนสนับสนุนโครงการเดิมของ ธ.ก.ส. เช่น ธนาคารต้นไม้ หลังจากก่อนหน้านี้มีการเปิดทางให้นำต้นไม้ปลูกมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในการขอกู้ได้ จากนี้ไปสามารถนำเงินจากการออกพันธบัตรมาปล่อยกู้ปลูกป่าได้เช่นกันนับเป็นอีกเครื่องมือทางการเงินที่ใช้พัฒนาสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ ที่ประชุมบอร์ด ธ.ก.ส.ยังเห็นชอบแผนยุทธศาสตร์ฉบับใหม่หวังก้าวไปสู่ธนาคารพัฒนาชนบทที่ยั่งยืน สอดคล้องกับการเพิ่มทุนของธนาคาร หลังจาก ครม.เห็นชอบเพิ่มทุนไปแล้ว 20,000 ล้านบาท โดยเพิ่มยุทธศาสตร์ใหม่ จากเดิมมี 5 ยุทธศาสตร์ เพิ่มเป็น 6 ยุทธศาสตร์ ด้วยการปรับโครงสร้างภายใน จัดตั้งศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจชุมชนทั้ง 77 จังหวัด เพื่อเป็นศูนย์กลางผสานความร่วมมือจากเครือข่ายภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคสังคมและภาคประชาชน พร้อมทั้งสนับสนุนสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย วงเงิน 50,000 ล้านบาท ดอกเบี้ยต่ำที่สุดเพียง 0.01% ต่อปี ระยะเวลาโครงการ 3 ปี และสินเชื่ออื่น ตามแผนธุรกิจเหมาะสมตามความต้องการของแต่ละชุมชน เพื่อใช้ลงทุนและพัฒนาแก่กองทุนหมู่บ้าน กลุ่มเกษตรกร สถาบันการเงินประชาชน วิสาหกิจเพื่อสังคม วิสาหกิจชุมชน
นายสมเกียรติ กิมาวหา ผู้ช่วยผู้จัดการ ธ.ก.ส. กล่าวว่า ธ.ก.ส.ปรับบทบาทองค์กรใหม่ตั้งเป้าหมายเป็นธนาคารเพื่อการสร้างและพัฒนาเกษตรกรยุคใหม่ ด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยทำการเกษตร 100,000 รายต่อปี และส่งเสริมการเติบโตของ SMEs ภาคเกษตร ผลักดันให้เป็นหัวขบวน 10,000 รายต่อปี และปรับมาทำงานร่วมกับกองทุนหมู่บ้าน จากเดิมธนาคารเป็นเพียงผู้ให้บริการและสนับสนุนสินเชื่อ เปลี่ยนมาเป็นการทำแผนแม่บทชุมชนร่วมกับกองทุนหมู่บ้าน เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงานให้ชัดเจน ช่วยเหลือชุมชนได้มากขึ้น
ส่วนแผนยุทธศาสตร์ใหม่ของ ธ.ก.ส.ได้จัดทำให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชนบท มี 6 ยุทธศาสตร์ ดังนี้ 1.พัฒนาการบริการทางการเงินครบวงจรและทันสมัย 2.เพิ่มขีดความสามารถขององค์กรและบุคลากรรองรับภารกิจ 3.บริหารจัดการรายได้รวมและต้นทุนรวมให้สมดุลและมีประสิทธิภาพ 4.สร้างและพัฒนาเกษตรกรให้เป็นสมาร์ท ฟาร์เมอร์ และผู้ประกอบการธุรกิจเกษตร 5.เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้เกษตรกรรายย่อย ด้วยกลไกเทคโนโลยีเกษตรสมัยใหม่ และเพิ่มยุทธศาสตร์ที่ 6 พัฒนาศักยภาพองค์กรและชุมชนแบบบูรณาการอย่างยั่งยืนเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก .-สำนักข่าวไทย
