ทำเนียบรัฐบาล 7 ก.พ.- “วิษณุ” เชื่อสภาใช้เวลาไม่นานพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบฯ 63 วาระ 2 – 3 ใหม่ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไม่โมฆะ คาดนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายได้ภายในเดือน ก.พ.นี้ ชี้ไม่กระทบเบิกจ่ายงบมากหนัก หลังรัฐบาลมีแผนสำรอง
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้ร่างพระราชบัญญัติรายจ่ายงบประมาณประจำปี 2563 ไม่เป็นโมฆะและให้ ดำเนินการในวาระ2-3 ใหม่ให้แล้วเสร็จภายใน 30 วันนับจากวันที่ศาลมีคำวินิจฉัย ว่า ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ63 เสียไปตั้งแต่เข้าสู่วาระ 2 ซึ่งขั้นตอนในการดำเนินการของวาระ 2 แบ่งเป็นสองช่วง คือขั้นตอนของคณะกรรมาธิการ และ ขั้นตอนการพิจารณาโหวตร่างกฎหมายเป็นรายมาตารา ซึ่งสิ่งที่ต้องดำเนินการใหม่ คือขั้นตอนโหวตร่างกฎหมายเป็นรายมาตรา โดยมาตราใดมีผู้สงวนคำแปรญัตติก็ให้ดำเนินการอภิปรายไปตามระเบียบแต่ขณะนี้สภาคงเข้าใจแล้วว่า ต้องเป็นเรื่องที่เร่งดำเนินการ อย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ทราบว่าประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้นัดให้สมาชิกพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2563 ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์นี้ เป็นต้นไป เพื่อพิจารณาเสร็จสิ้นก็เข้าสู่ขั้นตอนการลงมติในวาระ 3 จากนั้นสภาจะดำเนินการส่งไปยังวุฒิสภา เพื่อพิจารณา ซึ่งขั้นตอนของวุฒิสภาเข้าใจว่าคงไม่ยาก และเมื่อพิจารณาเสร็จก็เสนอมายังของรัฐบาล ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย เชื่อว่าจะสามารถดำเนินกาได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้
นายวิษณุ กล่าวว่า การประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์นี้จะรายงานให้ที่ประชุมทราบถึงผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ประขนาดนี้ได้รายงานให้นายกรัฐมนตรีรับทราบแล้ว
นายวิษณุ กล่าวอีกว่า เมื่อผลของศาลรัฐธรรมนูญออกมาเป็นเช่นนี้ไม่ถือว่ากระทบต่อการใช้จ่ายงบประมาณมากนัก แม้ว่าการเบิกจ่ายงบประมาณจะล่าช้าออกไปเล็กน้อยจากเดิมที่คาดการณ์ว่าจะสามารถนำขึ้นทูลเกล้าได้ในเดือนมกราคม ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ใช้แผนสำรองของรัฐบาล หรือการเบิกจ่ายงบประจำให้ทำได้ถึง 75% จากเดิมที่กำหนดที่ 50% แต่เชื่อว่าขณะนี้ยังไม่มีหน่วยงานใดทำเรื่องเบิกจ่ายงบประมาณเพราะ เพดานงบประจำ 50% อย่างเพียงพอ แต่หากทิ้งเวลาหลายเดือนอาจจะเกินจากกรอบที่วางไว้ ดังนั้นเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างก็ยังไม่กระทบ
ส่วนกรณีการเสียบบัตรแทนกัน นายวิษณุ กล่าวว่า อ่านรัฐธรรมนูญไม่ได้วิฉัยในประเด็นนี้ เพราะเป็นความผิดเฉพาะตัวไม่เกี่ยวข้องกับการทำให้ร่างกฎหมายเป็นโมฆะ และหากจะดำเนินการเอาผิดก็เป็นเรื่องของบุคคลใดจะดำเนินการก็ได้ตามช่องทางที่มีอยู่ ซึ่งเรื่องนี้เป็นพฤติกรรมที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะไม่ใช่เรื่องคดีอาญาธรรมดา และ ป.ป.ช. จะต้องดำเนินการตรวจสอบเป็นด่านแรกและหากเห็นว่ามีมูล ป.ป.ช.ส่งเรื่อง ตามขั้นตอนต่อไป.-สำนักข่าวไทย