เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร 29 ม.ค.-ราชทัณฑ์เปิดคุกโชว์ห้องคัดกรองโรคเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร พร้อมนำรถโมบายเอ็กซเรย์พระราชทานตรวจโรคตั้งแต่เข้าประตูคุก ป้องกันโรคปอดอักเสบจากไวรัสโคโรนาระบาด พร้อมอบรมนักโทษ เป็นอส.รจ.เสริมหมอ-พยาบาลในเรือนจำ
พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดโครงการอบรมอาสา สมัครสาธารณสุขเรือนจำ หรือ อส.รจ. รุ่นที่1 พร้อมนำสื่อมวลชนเข้าเยี่ยมเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ซึ่งใช้ระบบคัดกรองผู้ต้องขังด้วยรถโมบายพระราชทานในโครงการราชทัณฑ์ปันสุข ซึ่งเป็นรถเอกซเรย์เคลื่อนที่ ซึ่งมีศักยภาพพิเศษสามารถเชื่อมต่อกับระบบเอไอในการวิเคราะห์ตรวจโรค เพื่อนำมาตรวจคัดกรองผู้ต้องขังเข้าใหม่และผู้ต้องขังกลุ่มเสี่ยงป่วยเป็นโรคระบบทางเดินหายใจจำนวน 200 คน
อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวว่าปัจจุบันเรือนจำทั่วประเทศ143 แห่งมีนักโทษ 380,000 คน ยอมรับว่าเรือนจำทุกแห่งมีความแออัด โดยโรคอันดับ1 ที่น่ากังวล คือโรคทางเดินหายใจตอนบน ซึ่งเรือนจำมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคและการกระจายของโรคมากกว่าพื้นที่ภายนอก จึงได้กำชับให้เรือนจำทุกแห่งให้ความสำคัญกับการป้องกันโรคโดยเฉพาะในช่วงที่มีโรคไวรัสปอดอักเสบโคโรน่า สายพันธุ์ใหม่ระบาด
สำหรับเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ได้นำรถพระราชทาน ซึ่งเป็นรถเอกซเรย์เคลื่อนที่ ซึ่งมีศักยภาพพิเศษสามารถเชื่อมต่อกับระบบเอไอ ในการวิเคราะห์ตรวจโรค เพื่อนำมาตรวจคัดกรองผู้ต้องขังเข้าใหม่และผู้ต้องขังกลุ่มเสี่ยงป่วยเป็นโรคระบบทางเดินหายใจ ซึ่งเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร มีนักโทษประมาณ 4,000 คน
ส่วนผู้ต้องขังต่างชาติชาวจีน ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของโรคไวรัสโคโรนา จำนวน 314 คน โดยกระจายการคุมขังอยู่ในเรือนจำทั่วประเทศและมีผู้ต้องขังชาวจีนรับใหม่อีก 14 คนอยู่ในพื้นที่เรือนจำ 7 แห่ง ได้แก่ สมุทรปราการ ภูเก็ต นาทวี ปทุมธานี กระบี่ และหาดใหญ่ ซึ่งยังไม่ปรากฏอาการเจ็บป่วยหรือติดเชื้อและในประวัติผู้ต้องขังไม่พบว่าเป็นผู้เดินทาง มาจากเมืองอู่ฮั่นหรือมณฑลที่มีการแพร่ระบาดของโรค
อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวด้วยว่า แม้ขณะนี้ยังไม่พบการแพร่ระบาดในเรือนจำแต่กรมราชทัณฑ์ได้พยายามช่วยเหลือตัวเอง ด้วยการคัดกรองโรคด้วยการตรวจวัดไข้ ตั้งแต่ห้องควบคุมใต้ถุนศาล เมื่อนำตัวมาถึงเรือนจำจะตรวจซ้ำเพื่อแยกโรค รวมทั้งมาตรการทำความสะอาดเรือนจำขั้นสูงสุด ทั้งในเรือนนอน โรงเลี้ยงและมาตรการเก็บรักษาอาหารดิบ เพราะหากมีนักโทษติดเชื้อเพียงรายเดียว อาจนำไปสู่การแพร่ระบาดที่สร้างความสูญเสียมหาศาล ส่วนการสร้างห้องกักกันโรคให้ครบทุกเรือนจำยอมรับว่าทำได้ยาก เนื่องจากเรือนจำมีปัญหาความแออัด คับแคบจนไม่สามารถแยกแดนเพื่อกักกันโรคเป็นการเฉพาะได้
ด้าน นพ.วีระกิตติ์ หาญปริพรรณ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวว่า ได้มีการคัดเลือกผู้ต้องขังชั้นดี จำนวน 50 คน ซึ่งมีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ มาฝึกอบรมวิชาชีพการพยาบาลเบื้องต้น ในโครงการอบรมอาสาสมัครสาธารณสุขเรือนจำ หรือ อส.รจ. รุ่นที่ 1 จำนวน 5 วัน ตามหลักสูตรของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้ผู้ต้องขังสามารถดูแลช่วยเหลือเพื่อนผู้ต้องขังด้วยกัน ที่มีอาการเจ็บป่วยกระทันหัน โดยมีเป้าหมายให้สามารถใช้เครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจได้ นอกจากนี้ยังมุ่งหวังให้ผู้ต้องขัง มีความรู้เมื่อพ้นโทษ ในการให้ความช่วยเหลือคนอื่น และใช้เป็นอาชีพช่วยเหลือดูแลผู้ป่วยติดเตียง หรือผู้ป่วยโรคเรื้อรังในอนาคต
โดย อส.รจ.รุ่นแรก เมื่ออบรมเสร็จ จะกระจายไปอยู่ตามเรือนจำต่าง ๆ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ประมาณ 7 แห่ง และจะมีการอบรมต่อเนื่อง เพื่อให้ได้จำนวนอาสาสมัครในอัตราส่วน 1 คน ต่อผู้ต้องขัง 50 คน ส่วนเรือนจำในต่างจังหวัด จะร่วมกับโรงพยาบาลประจำจังหวัด อบรมหลักสูตรนี้ ให้เพียงพอกับความต้องการต่อไป.-สำนักข่าวไทย